วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุดยอดวาทะ William O’neil ในเรื่องการบริหารความเสี่ยง CR:https://www.facebook.com/McLynchGroup/posts/365078120255202

สุดยอดวาทะ William O’neil

ในเรื่องการบริหารความเสี่ยง

1. “ผมตั้งเป็นกฏเอาไว้เลยว่า หากขาดทุนเกิน 7% จากราคาที่ซื้อมา ผมจะขายหุ้นทิ้งโดยไม่มีการลังเลเลยแม้แต่น้อย"
2. “หลายคนมักพูดว่า เขาไม่สามารถตัดขายหุ้นเหล่านั้นได้ เพราะเขาจะขาดทุน สำหรับผมแล้ว ถ้าราคาหุ้นที่คุณซื้อนั้นตกลงมาต่ำกว่าต้นทุนของคุณมากพอสมควรการขายมันไม่ได้ทำให้คุณขาดทุนหรอก เพราะคุณก็ขาดทุนไปเรียบร้อยแล้ว”
3. “การปล่อยให้ขาดทุนเรื้อรังต่อไปเรื่อยๆ เป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของนักลงทุนส่วนใหญ่”
4. “ความลับทั้งหมดทั้งมวลของการประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นก็คือ การขาดทุนให้น้อยที่สุดในเวลาที่คุณคิดผิด”

ในเรื่องการลงทุน

1. “สิ่งที่ 90% ของคนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมือใหม่ต่างก็เหมือนกันคือ พวกเขายังทำการบ้านไม่มากพอ”
2. “ก้าวแรกของการเรียนรู้เพื่อจะค้นหาสุดยอดหุ้นที่จะชนะตลาดได้ก็คือ การศึกษา Big Winner ในอดีต เพื่อเรียนรู้ลักษณะและพฤติกรรมของหุ้น คุณจะได้เรียนรู้จากการสังเกตุหุ้นเหล่านี้ว่า แพทเทิร์นราคาแบบไหนที่หุ้นพวกนี้มักจะแสดงอาการออกมาก่อนที่ราคาหุ้นจะขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว”
3. “มันช่างยากเอามากๆที่คุณจะได้รับผลตอบแทนสูงๆจากการลงทุนในหุ้น Laggard ถึงแม้ว่ามันจะดูราคาถูกอย่างน่าสนใจก็ตาม จงค้นหาและเลือกซื้อหุ้นนำตลาดเท่านั้น”
4. “สิ่งที่ดูแพงเกินไป และเสี่ยงเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่มักจะยิ่งขึ้นไปสูงกว่าเดิม และสิ่งที่ดูถูกๆและไม่เสี่ยงมักจะยิ่งลงไปต่ำกว่าเดิม”
5. “นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะรีบร้อนทำกำไร และไม่ตัดขาดทุน ในความคิดของผม การเลือกขายหุ้นที่มีกำไร ก่อนจะขายหุ้นที่ขาดทุน เป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับหลักการลงทุนที่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง”
6. “แนวทางที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และเพลิดเพลินไปกับราคาหุ้นที่สูงขึ้นอย่างมหาศาลนั้น ก็คือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด แน่นอนเราไม่ได้พูดถึงสินค้าอย่างน้ำยาล้างจานสูตรใหม่ แต่เราพูดถึงสินค้าใหม่ของบริษัทที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนเราในแต่ละวันต่างหาก”
7. “สำหรับการขายชอร์ตนั้น กฏสำคัญหมายเลขหนึ่งก็คือ ขายชอร์ตเฉพาะช่วงที่คุณคิดว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลงเท่านั้น ไม่ใช่อยู่ในช่วงขาขึ้น”
8. “วิธีที่ดีที่สุดในการวัด Demand และ Supply ของหุ้น ก็คือการดู Volume เทรดในแต่ละวัน เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง คุณอยากจะเห็นว่า Volume มันน้อยลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีแรงขายที่มีนัยยะสำคัญ ในทางกลับกัน เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น คุณอยากจะเห็นการเพิ่มขึ้นของ Volume ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงการเข้าซื้อของสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่”
9. “เหล่านักลงทุนผู้ละเลยสิ่งที่ตลาดพยายามจะบอกหรือส่งสัญญาณออกมา มักจะต้องจ่ายค่าบทเรียนราคาแพง ในขณะที่นักลงทุนที่สามารถแยกแยะสัญญาณต่างๆทั้งที่ปกติหรือไม่ปกติได้นั้น มักจะรู้สึกดีต่อตลาดมากกว่าคนส่วนใหญ่ เพราะพวกเขาสามารถเข้าใจตลาดได้เป็นอย่างดี”
10. “หุ้นนำตลาดนั้นไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาด หรือบริษัทที่มีแบรนด์เนมที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุด แต่เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการรายไตรมาส-รายปีเติบโตสูง, ROE และ Profit Margins ดีขึ้น, มีการเติบโตของยอดขาย, และการเคลื่อนไหวของราคาที่ดูดีที่สุด”

ในเรื่องจิตวิทยา

1. “หน้าที่ของคุณไม่ใช่การถกเถียงกับตลาด แต่เป็นการเรียนรู้ตลาด รับรู้ได้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอหรือแข็งแรง และพร้อมที่จะปรับตัวไปกับมันได้อย่างราบรื่น”
2. “นักลงทุนหลายคนมีปัญหาในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น ลังเลและไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่รู้จริงๆว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีแบบแผนชัดเจน ไม่มีหลักการที่แน่นอน และไม่มีกฏเกณฑ์ที่จะช่วยชี้นำพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรจะทำอะไรกันแน่”
3. “เนื่องจากตลาดมักจะเคลื่อนที่สวนทางกับความคิดของคนส่วนใหญ่อยู่เสมอ ผมสามารถบอกได้ว่า 95% ของสิ่งที่คุณได้ยินจากรายการทางโทรทัศน์นั้นมาจากความเห็นส่วนตัว ซึ่งสำหรับผมแล้ว ความเห็นส่วนตัวนั้นแทบจะไร้ค่าอยู่เสมอในตลาดหุ้น ข้อเท็จจริง ราคา และตลาด มีความน่าเชื่อถือกว่าความคิดเห็นพวกนั้นมาก”