วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันพฤหัสที่ 26/5/2555

ครึ่งเช้า วันที่ 26 กรกฎาคม 2555 ฝรั่ง Net sell 400 M.
Fund Survey Fund Flows Tracking: (12.30) FI -612(7 Brks) 
LI -398(5AM)/Flows; 
Buy; AOT,BGH,PS,CENTEL,AAV/
Sell; BIGC,BANPU


เอากลอนฮา ฮา ของน้องพรี์ Wizard Kid มาโพสบอกอารมณ์ตลาดของวันนี้้กัน

หุ้นวันนี้ เสียวสะท้าน หัวใจฉัน
เนื้อตัวสั่น เมื่อเห็นหุ้น เปิดสีเขียว
สงสัยจะ ได้หลุดดอย เป็นแน่เชียว
เพิ่มความเสียว ซื้อแมร่งเพิ่ม ถัวเข้าไป

ซื้อ BANPU รักสื่อสาร สอย ADVANC 
ธนาคาร ต้องกรุงเทพ แบงค์ฟ้าใส
ซื้อตอนเปิด ดูดอมยิ้ม สราญใจ
เวรตะไล เจอโจ๋ทุบ ยิ้มหุบเอย

โทรหามาร์ มาร์ก็บอก อย่าไปกลัว
บอกมั่วซั่ว อย่ารีบขาย ต้องซื้อหนา
ฝ่ายวิเคราะห์ กูรูหุ้น ก็บอกมา
หุ้นน้ำดี รวยแน่หนา ถือกินยาว

เราก็คิด ให้กินยาว ทำไม่ได้
หมดยาไส้ กู้เค้ามา มาร์จิ้นหนา
วิ่งไม่ขึ้น ตบหัวคว่ำ โอ้วกานดา
เค้าเรียกว่า โดนหุ้นแดก หมดตัวเอย

โทรหาพ่อ ท่านก็บอก อย่าเครียดลูก
แค่หมดตูด หางานเสริม เพิ่มเงินได้
เก็บสบู่ รับขุดทอง โอ้วสบาย
เป็นผู้ชาย มีจุดขาย อย่ากลัวเอย 

5555555

พีร์ บุญชนะวิวัฒน์ (Wizard Kid)

คลายเครียดวันหุ้นถล่มครับ...ช่วงนี้ CASH IS KING กับเล็กสั้นขยันซอย ได้เปรียบ สบายใจครับ 

^_^ 

โชคดีคร้าบบ 




ความคิดเห็นจาก FB:Scan Stock

วันนี้ SET ปิดที่ 1172.92 ลบไป 15.7 จุด....คิดเป็น -1.32%

แต่ฝรั่ง ขายเพียง -76.34 ล้านบาท ในตลาดหุ้น
ส่วนในตลาดตราสารหนี้ ขายไปถึง -6244.61 ล้านบาท
แต่งงที่ว่า ขายทั้งหุ้น ขายทั้งตราสารหนี้ แต่ค่าเิงินบาทกลับไม่อ่อนค่าลง
ค่าเงินบาทต่อ USD วันนี้ ปิดที่ 31.61 THB/USD แข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อย

เอ๊ะ ขายหุ้น ขาย Bond แต่บาทไม่อ่อน...แสดงว่าเงินยังอยู่ในประเทศ
ในรูปแบบของ ตราสารทางการเงินรูปแบบอื่น.....คืนนี้ถ้า ต่างชาติดี

ระวัง มีเด้ง วันพรุ่งนี้....หาก บาทไม่เปิดไปอ่อนค่าลง

ปล.เซง KAMART อุตส่าห์ จะ LET'S PROFIT RUN วิ่งกลับมาจุดสตาร์ทเสียได้....หายไป 1 รอบบบ T^T



เค้าบอกว่าเงินจะไหลจากหุ้นทั่วโลก ไปเข้า Commodity โดยเฉพาะ Gold 
พายุจริงยังไม่มี ต่างชาติยังขายได้อีก-40,000 ล้านบาท
SET DAY 24/5/55 นับเวฟความน่าจะเป็นลง1050 ส่วนใน Week  เวฟ A correction ลงถึง 850





วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ สอนลูก



วันนี้ได้มีโอกาสอ่านบทความเกี่ยวกับ “วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์” บทความหนึ่งน่าในใจดี ก็เลยขอนำมาฝากกัน

…เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ มหาเศรษฐีหมายเลข 3 ของโลกวัย 81 ปี ออกมาประกาศว่าเมื่อตัวเองเสียชีวิต ผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ของเขาคือ ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ลูกชายคนโตที่ปัจจุบันอายุ 57 ปี

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา วอร์เร็นและฮาเวิร์ดให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ของช่อง CBS

ไม่บ่อยนักที่วอร์เร็นออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว แต่ทุกครั้งก็มีมุมมองและแนวคิดดีๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเสมอ ยิ่งมีลูกชายมาร่วมเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ก็ทำให้ทราบถึงเรื่องราวน่ารักปนขบขัน ตลอดจนถึงวิธีการเลี้ยงลูกว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้เป็นลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านเมื่อโตขึ้น

ฮาเวิร์ด บัฟเฟ็ตต์ ประกอบอาชีพอะไรและมีคุณสมบัติอย่างไรที่ทำให้พ่อเชื่อใจว่าจะสืบทอดตำแหน่งประธานบริษัทการลงทุน เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์

คำตอบคือฮาเวิร์ดเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด ซึ่งวอร์เร็นมั่นใจว่าลูกชายคนนี้จะสามารถบริหารงานบริษัทให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และวัฒนธรรมของบริษัทที่ได้วางรากฐานเอาไว้ โดยเปรียบว่าฮาเวิร์ด จะทำหน้าที่เป็น Guardian of the Culture หรือ “ผู้พิทักษ์วัฒนธรรม” องค์กร

วอร์เร็นเคยกังวลว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว ประธานคนใหม่อาจบริหารงานแบบตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเอง แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นต่ำมากๆ แต่การได้ฮาเวิร์ดมาดำรงตำแหน่งประธานก็เหมือนกับการสร้างเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งฮาเวิร์ดจะไม่ได้รับเงินเดือน และไม่ต้องเข้าทำงานทุกวัน

หลายคนสงสัยว่าฮาเวิร์ดซึ่งเป็นเกษตรกรไร่ข้าวโพด มีความรู้ความสามารถพอที่จะบริหารบริษัทการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาลเป็นล้านล้านบาทหรือ?

วอร์เร็นบอกเขามั่นใจว่าลูกชายมีความรู้ความสามารถมากพอ ซึ่งในจำนวนลูก 3 คน ฮาเวิร์ดเป็นลูกคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งบอร์ดของบริษัท

ตอนทราบว่าพ่อจะส่งทอดตำแหน่งประธานให้ ฮาเวิร์ดบอกว่าเซอร์ไพรส์ พร้อมหัวเราะแล้วพูดต่อว่าไม่อยากจะบอกว่าพ่อไม่มีวันที่จะลงจากตำแหน่งจนกว่าจะถูกฝังลงดิน

ถามฮาเวิร์ดว่ากังวลหรือเปล่าที่จะมารับตำแหน่งใหญ่โตขนาดนี้ เขาอมยิ้มและหัวเราะเช่นเคย ก่อนตอบว่าตราบใดที่เขาได้ทำไร่ ตัวเขาก็ไม่มีปัญหา

ฮาเวิร์ด สนใจทำไร่ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ตอนนั้นใช้สวนหลังบ้านปลูกข้าวโพด

ตอนเด็กเขาและพี่สาวกับน้องชายไม่ทราบเลยว่าพ่อร่ำรวยมาก เขาเล่าเรื่องตลกของพี่สาวสมัยเป็นนักเรียนชั้นประถมว่า ครูถามนักเรียนทุกคนในห้องว่าพ่อทำงานอะไร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรสามคนพี่น้องทราบเพียงแต่ว่าพ่อมีอาชีพเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (Securities Analyst) แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่าอาชีพนี้คืออะไร ดังนั้น พี่สาวก็ตอบครูไปว่า พ่อเป็น Security Guard หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย!

ซึ่งสามพี่น้องก็เข้าใจผิดอยู่นานว่าพ่อมีอาชีพนี้

เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ฮาเวิร์ดเปลี่ยนคณะที่เรียนถึง 3 หน

ถามวอร์เร็นว่ากังวลหรือเปล่าที่ลูกเปลี่ยนคณะเรียนบ่อย

เขาตอบว่าไม่กังวลเลยเพราะเข้าใจดีว่าลูกต้องการค้นหาตัวเองว่าต้องการทำอะไร แม้ในที่สุดฮาเวิร์ดเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย แต่วอร์เร็นก็บอกว่าไม่รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะสำหรับเขาแล้วลูกจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบจากมหาวิทยาลัยหรือไม่ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

วอร์เร็นยอมรับว่าตัวเองเป็นพ่อที่แปลก แต่ภรรยาของเขาก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ซึ่งลูกทั้งสามคนไม่มีใครเรียนจบมหาวิทยาลัย และพูดตลกว่าถ้านำหน่วยกิตของลูกทั้ง 3 คนมารวมกัน ก็สามารถได้ปริญญารวมกัน 1 ใบ!

เมื่อฮาเวิร์ดค้นพบว่าอยากเป็นเกษตรกร วอร์เร็นก็ซื้อที่ดินให้ลูกทำไร่ ไม่ได้ยกที่ดินให้เลย แต่ให้ฮาเวิร์ดเช่า โดยคิดค่าเช่าตามน้ำหนักตัวที่ขึ้นลงของฮาเวิร์ด!

สาเหตุก็เพราะฮาเวิร์ดตัวอ้วนใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ลูกลดน้ำหนัก วอร์เร็นจึงตั้งกฎค่าเช่าที่ดินไว้ว่าค่าเช่าขึ้นลงตามน้ำหนัก หากน้ำหนักตัวเพิ่มค่าเช่าก็สูงขึ้น หากน้ำหนักตัวลดค่าเช่าก็ลดตาม

ถามว่าทำไมถึงไม่ยกที่ดินให้ลูก วอร์เร็นตอบว่าการที่ฮาเวิร์ดใช้นามสกุลบัฟเฟ็ตต์ไม่ได้หมายความว่าจะได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดิน เพราะเขาไม่ต้องการให้ลูกได้รับการเลี้ยงดูอย่างลูกมหาเศรษฐีที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ

แม้จะให้ฮาเวิร์ดจ่ายค่าเช่าที่ดิน แต่วอร์เร็นก็ให้เงินฮาเวิร์ดและลูกอีกสองคนเท่ากันคนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 31,000 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้เงินจำนวนนี้เพื่อการกุศล ซึ่งฮาเวิร์ดก็ใช้เงินนี้ในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ยากไร้ในประเทศกำลังพัฒนา สอนวิธีการเพิ่มผลผลิต ฮาเวิร์ดบอกว่าเกษตรกรจำนวนมากที่ปลูกพืชผักผลไม้ขายกลับไม่ค่อยมีจะกิน ถือเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข

แม้ว่าจะได้เงินจากพ่อเพื่อใช้ในการกุศลตั้งสามหมื่นล้านบาท แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ลูกๆ รู้สึกหงุดหงิดที่พ่อบริจาคเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์หรือหนึ่งล้านล้านบาทให้แก่มูลนิธิของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งสนิทกันเหมือนน้องชายอีกคน

แม้จะทราบมาตลอดว่าพ่อจะไม่ยกทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ให้ แต่บางครั้งลูกๆ ก็รู้สึกว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำได้ดียิ่งขึ้นหากมีเงินมากกว่านี้

ปัจจุบันฮาเวิร์ดมีความสุขกับการทำไร่ข้าวโพด 3,750 ไร่ในรัฐอิลลินอยส์ เขาบอกว่าคงไม่มีสิ่งไหนที่เขาสามารถทำแล้วประสบความสำเร็จได้อย่างพ่อ แต่พ่อกับแม่ก็บอกเสมอว่าไม่เป็นไร

วอร์เร็นบอกว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกๆ จะพยายามแข่งขันกับเขา ลูกควรทำสิ่งที่ตัวเองถนัด โดยสอนลูกว่าให้ทำในสิ่งที่รักเหมือนกับที่พ่อรักที่จะทำเงิน ความสำเร็จในชีวิตคือการทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำออกมาดี

และสุดยอดแห่งความหรูหราในชีวิตก็คือการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน

สรุป How Buffett Does It ตามรอยวอเร็น บัฟเฟตต์ เคล็ดลับง่าย ๆ 24 ข้อ จากสุดยอดนักลงทุนระดับโลก

สรุป How Buffett Does It ตามรอยวอเร็น บัฟเฟตต์ เคล็ดลับง่าย ๆ 24 ข้อ จากสุดยอดนักลงทุนระดับโลก Posted by: อ้ายคำปัน Tags: Warren Buffett, นักลงทุนระดับโลก, วอร์เรน บัฟเฟทท์, วอเร็น บัฟเฟตต์, เคล็ดลับ Buffett Posted date: March 28, 2011 | Comment

…สวัสดีครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ศึกษาการลงทุนในหุ้นอย่างจริงจัง เพราะต้องการการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน

มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และให้เงินออกมาช่วยคนทำงานซะบ้าง ^^! ซึ่งหลายท่านก็คงจะทราบกันดีว่า

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบันนั้นน้อยเหลือเกิน ไม่เพียงพอที่จะสามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ …วันนี้ผม

ขอนำเอาสรุปข้อคิดสั้น ๆ ที่ผมไดัรับจากหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่งที่เขียนถึงเคล็ดลับการลงทุนของนักลง

ทุนอันดับหนึ่งของโลกมาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน ซึ่งเขาคนนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ชายที่ชื่อว่า

Warren Buffet ซึ่งปีนี้ (2011) นิตยสาร Forb ได้จัดให้เขาเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ที่รวยที่สุดในโลก (หลังจาก

ได้ที่ 2 อยู่หลายปี) ผมคิดว่าเขาคนนี้คงเป็นแรงบันดาลใจของใครหลาย ๆ คนที่ต้องการเอาดีด้านการลงทุน (

ซึ่งผมเองก็หนึ่งในนั้น ^^)
…ปล. บทความนี้ท่านไม่ไม่ได้เล่นหุ้นอาจจะงงหน่อยนะครับ …ไว้ขอแก้ตัวบทความหน้าก็แล้วกันครับ

1. เลือกความเรียบง่าย มากกว่าความซับซ้อน
บัฟเฟตต์ แนะนำว่า “เมื่อลงทุน ทำให้เรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน จากคำถามที่ซับซ้อน”

จำไว้ว่าความยากไม่มีในการลงทุน มองหาบริษัทที่มีประวัติยาวนานและสามารถคาดเดาอนาคตของธุรกิจได้

ถ้าคุณไม่เข้าใจธุรกิจ อย่าซื้อหุ้น

2. ตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเอง
อย่าเชื่อโบรกเกอร์, นักวิเคราะห์ หรือผู้รู้ จงเชื่อตัวคุณเอง

เมื่อคุณพบที่ปรึกษาทางการลงทุนหรือนักลงทุนมืออาชีพ จงถามว่า “พวกคุณจะได้อะไรจากผม”
ถ้าคำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจคุณก็ควรจะเดินหนีไปซะ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นเทคนิคที่พิสูจณ์แล้วว่า จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากในระยะยาว

3. จงมีสติ
บัฟเฟตต์แนะนำว่า ปล่อยให้คนอื่น ๆ ตื่นตระหนกไปกับตลาดแล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน

อย่าคิดจะเป็นเจ้าของหุ้น ถ้ามันจะทำให้คุณตื่นตระหนกและขายหุ้นของคุณเมื่อราคาตกลง 50%

คำแนะนำ 3 ข้อ ตอนตลาดตก
1. เกาะติดอยู่กับบริษัทที่ดี
2. รู้จักตัวเอง
3. อย่าตัดสินใจลงทุนเพราะมีคนอื่นมากระซิบหุ้นเด็ด

4. จงอดทน
บัฟเฟตต์แนะนำให้คิดถึงระยะเวลาเป็น 10 ปี แทนที่จะเป็น 10 นาที ถ้าคุณไม่สามารถจะถือหุ้นได้เป็น

ทศวรรษก็อย่าซื้อหุ้นตั้งแต่แรก

อย่าหมกมุ่นอยุ่กับราคาหุ้น จงศึกษาพื้นฐานของธุรกิจ ความสามารถในการสร้างกำไร อนาคตของบริษัท และ

อื่น ๆ

เวลาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของธุรกิจ

5. ซื้อธุรกิจไม่ใช่แค่ซื้อหุ้น
ถ้าคุณซื้อหุ้นของบริษัทที่ดีแล้ว ปล่อยให้คนอื่น ๆ กังวลเรื่องตลาดหุ้นไปเถิด

ผลประกอบการของธุรกิจคือ กุญแจสำคัญของการเลือกซื้อหุ้น ให้ศึกษาผลการดำเนินงานในอดีตของบริษัท

ที่อยุ่ในรายการหุ้นที่คุณสนใจ

จงมองหาความแน่นอนในตลาดที่ไม่แน่นอน ธุรกิจจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้นระยะยาวเท่านั้น

6. จงมองหาบริษัทที่มีฟรานไชส์
บัฟเฟตต์เรียกธุรกิจบางประเภทว่า “ฟรานไชส์” ซึ่งเปรียบเสมือนธุรกิจที่มีกำแพงและคูเมืองล้อมรอบอยู่ ซึ่ง

สามารถป้องกันศัตรูได้

ธรกิจที่มีฟรานไชส์เศรษฐกิจต้องขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่
1. จำเป็นหรือตอบสนองความต้องการ
2. ไม่ต้องการเงินลงทุนที่มากเกินไป
3. เป็นผู้นำตลาดและไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง
4. สามารถขึ้นราคาสินค้าหรือบริการได้อย่างอิสระ

จงค้นหาบริษัทที่มีป้องปราการล้อมรอบ จงมองหาบริษัทที่อยู่เหนือคู่แข่ง

อย่าซื้อขายหุ้นบ่อย ๆ จากงานวิจัยพบว่าการเข้าออกตลาดบ่อย ๆ จะสร้างผลขาดทุนมหาศาล

ข้อควรปฏิบัติ
มองหาธุรกิจฟรานไชส์ที่จะยืนหยัดผ่านการทดสอบของกาลเวลา
ศึกศาพื้นฐานของบริษัทก่อนที่คุณจะซื้อมัน
อย่ากลัวที่จะตกรถไฟ ถ้าคุณยังไม่แน่ใจในรถไฟขบวนนั้น

7. ซื้อโลเทคไม่ใช่ไฮเทค
ในโลกของบัฟเฟตต์การประสบความสำเร็จในการลงทุนคือการสร้างความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง ซึ่งจะไม่

เกี่ยวกับเรื่องของจรวด, แสงเลเซอร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่มักจะเกี่ยวกับเครื่องของ อิฐ, พรม, สี ลูก

อมและฉนวน

อย่าถูกยั่วยุด้วยการ รวยเร็ว และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบริษัทที่ซับซ้อน บริษัทเหล่านั้นไม่สามารถที่จะคาดเดา

อนาคตได้

ข้อปฏิบัติ
หลีกเลี่ยงบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงบ่อย
ลงุทนในธุรกิจ “คลื่นลูกเก่า”
บริษัทใช้เวลาเป็นทศวรรษเพื่อที่จะกลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่

8. จงหลีกเลี่ยงการลงทุนในแบบที่บัฟเฟตต์เรียกว่า “เรือของโนอาร์” คือซื้อโน่นนิดนี่หน่อย จะดีกว่าถ้าลงทุน

มาก ๆ ในหุ้นน้อยตัว
เมื่อคุณมั่นใจว่าธุรกิจนั้นมีความเข้มแข็ง จงมั่นใจและอย่าลังเลที่จะซื้อหุ้นในจำนวนมาก แทนที่จะซื้อหุ้น 15-20

บริษัทที่พอใช้ได้

9. ฝึกที่จะอยู่นิ่ง
สัญญาณของความสำเร็จในการลงทุนคือ ความสามารถที่จะปล่อยวางให้เวลาผ่านไปโดยไม่ต้องเคลื่อนไหว
อย่าซื้อขายเพราะเห็นแก่กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ การซื้อขายมาก ๆ เป็นเครื่องหมายการค้าของนักลงทุนที่โลเล ซึ่ง

มักจะจบลงด้วยการขาดทุนมากกว่าจะกำไร

10. อย่ามองตัววิ่ง [ราคาหุ้น]
ราคาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตัววิ่ง แต่การลงทุนเป็นอะไรที่มากกว่าราคา
ให้เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า หลีกเลี่ยงจากตัววิ่งและละเว้นจากการดูราคาหุ้นทุก ๆ วัน
วอเร็น บัฟเฟตต์ ไม่เคยรู้ว่าบริษัทเบิร์กไซร์ฮาธาเวย์ของเขาว่าซื้อขายกันที่ราคาเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นวานนี้, วันนี้

หรือพรุ่งนี้ แต่เขาสนใจว่าจะซื้อขายกันที่ราคาเท่าใดในทศวรรษหน้า เพราะนั่นคือการวัดศักยภาพและมูลค่าที่

แท้จริงของบริษัท

11. มองตลาดหุ้นขาลง ให้เป็นโอกาส
ตลาดหุ้นขาลงไม่ได้ฆ่าใคร แต่กลับเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นถ้าผู้คนเริ่มวิ่งหนีออกจากหุ้นดี ๆ จงเตรียมพร้อม

ที่จะลุยไปกับหุ้น
จงมองหาบริษัทที่มีคุณภาพที่กำลัง “ลดราคา”สำหรับคุณภาพ นั่นหมายถึง พื้นฐานที่รองรับธุรกิจและคุณภาพ

ของทีมบริหาร
บัฟเฟตต์พูดว่า “นักลงทุนจะไม่ขาดทุนเมื่อตลาดปรับตัวลงจะมีก็เพียงนักเก็งกำไรเท่านั้นที่จาดทุน” ดังนั้นจง

เป็นนักลงุทนแบบวอเร็น บัฟเฟตต์

12. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา
บัฟเฟตต์ชอบเปรียบเทียบแนวทางการลงทุนของเขากับเรื่องของเบสบอล เขาเปรียบนักลงทุนว่าเหมือนกับผู้

เล่นที่ยืนอยู่บนโฮมเบสที่พร้อมจะตีลูก ตลาดหุ้นก็เหมือนกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามที่ขว้างลูกมาให้นักลงทุนตีอยู่

ตลอดเวลา เขาแนะนำว่า “อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา” จงอดทนแล้วปล่อยให้ลูกบอลที่ขว้างผ่านไป ให้รอ

เฉพาะลูกสวย ๆ ตีง่าย ๆ ที่ถูกขว้างมาแล้วค่อยตี

13. อย่าสนใจเรื่องมหาภาค จงสนใจแต่เรื่องจุลภาค
เรื่องใหญ่ ๆ อย่างเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจ เป็นเรื่องภายนอกธุรกิจอย่าไปใส่ใจกับมัน จงสนใจแต่เรื่องเล็ก ๆ ที่

เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง

14. จับจ้องมองการบริหาร
บัฟเฟตต์ จะมองหาธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่าพร้อมกับผู้บริหารที่ยิ่งใหญ่เสมอ
1. ทีมผู้ยริหารทำงานเพื่อผู้ถือหุ้น หรือทำงานเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเขาเองโดยใช้ทรัพยากรของผู้ถือหุ้น?
2. ผู้บริหารใช้งบประมาณของบริษัทอย่างรอบคอบ หรือเป็นผู้บริหารที่ใช้เงินสิ้นเปลือง?
3. ผู้บริหารทุ่มเทเพื่อเพิ่มมูลค่าของบริษัทให้กับผู้ถือหุ้นและใช้จ่ายเงินลงทุนอย่างเหมาะสมหรือไม่?
4. ผู้บริหารมีโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและหลีกเลี่ยงการออกหุ้นใหม่ที่จะทำให้มูลค่า

ของหุ้นลดลงหรือไม่?
5. ผู้ถือหุ้นถูกปฏิบัติอย่างหุ้นส่วน หรือเป็นเพียงแค่หุ่นไล่กา?
6. รายงานประจำปีของบริษัทเปิดเผยข้อมูลอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาหรือว่ามีแต่เรื่องไร้สาระ?
7. ผู้บริหารรายงานข้อมูลทางบัญชีที่ถูกต้อง หรือพยายามปกปิดข้อมูลความเป็นจริง?

ประเมินทีมผู้บริหารก่อนที่คุณจะลงทุน
มองหาบริษัทที่เป็นมิตรกับผู้ถือหุ้น
หลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีประวัติเสียงทางการเงินและกลโกงทางบัญชี

15. ราชาแห่งวอลสตรีทนั้นไม่ใส่เสื้อผ้า
บัฟเฟตต์ บอกว่า วอลสตรีทเป็นที่ ๆ เดียวที่คนซึ่งมาด้วยรถ Rolls-Royces ฟังคำแนะนำของคนซึ่งมาด้วย

รถไฟใต้ดิน
อย่าสนใจกราฟ
กุญแจของการลงทุนคือ วินัย และความอดทน
ให้ค้นหาความแตกต่างระหว่าง มูลค่าของธุรกิจกับราคาของหุ้นในตลาด

16. ฝึกที่จะคิดให้เป็นอิสระ
อยู่ให้ห่างจากฝูงชนที่แต่ตื่น ถ้าไม่อย่างนั้น ความอลห่มานจะมาเยือคุณและการลงทุนของคุณ
ทำการบ้านของคุณและตัดสินใจเลือกการลทุนด้วยตัวคุณเอง

17. จงอยู่ในของเขตความรอบรู้ของคุณ
จงสร้างโซนของความชำนาญขึ้นมา แล้วอยู่แต่ในโซนนั้น และอย่าโทษตัวเองถ้าพลาดโอกาสดี ๆ ที่เกิดขึ้น

นอกโซนที่คุณสร้างขึ้น
จดรายชื่อธุรกิจและอุตสาหกรรมที่รุณรู้สึกสบายใจด้วย
อย่าสร้างข้อยกเว้นให้กับขอบเขตความรอบรู้ของคุณ
เล่นเกมของคุณ ไม่ใช่เล่นเกมของคนอื่น

18. อย่าสนใจการพยากรณ์ตลาดหุ้น
การทำนายราคาหุ้น หรือหุ้นกู้ในระยะสั้น ๆ นั้นไร้ประโยชน์ พวกมันบอกเกี่ยวกับผู้ทำนานมากกว่าที่พวกมัน

จะบอกเกี่ยวกับอนาคต
อย่าให้การพยากรณ์มายุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจการลงทุนของคุณ
เอาเวลาที่จะใช้กับการฟังพยากรณ์ตลาดหุ้น ไปใช้กับการวิเคราะห์ประวัติผลการดำเนินงานของบริษัทดีกว่า
พัฒนากลยุทธ์การลงทุนโดยไม่ต้องพึ่งพาภาพรวมการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น

19. รู้จักกับ “นายตลาด” และ “Margin of Safety”
นักลงทุนที่ดีคือ ใครก็ตามที่สามารถรวมเอาการเลือกธุรกิจที่ดีเข้ากับความสามารถที่จะวางเฉยต่อการแกว่ง

ตัวอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นได้
เมื่อเกิดความสับสน จงนึกถึงแนวความคิดของ เบน เกรแฮม ในเรื่อง “นายตลาด” และให้มองหา “Margin of

Safety”
รอจนกว่าเวลาของคุณจะมาถึง คอยจนกว่านายตลาดจะหดหู่และทำให้ราคาของหุ้นลดลงมากพอที่จะสร้าง

โอกาสในการซื้อที่มี Margin of Safety ในปริมาณที่เหมาะสม

20. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
คุณสามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าใครจะโลภ, ตื่นกลัว หรือโง่เขลา คุณแค่ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไรหรือกำลัง

เป็นอะไรอยู่เท่านั้น
ซื้อเมื่อคนอื่นกำลังขายและขายเมื่อคนอื่นกำลังซื้อ
จงเตรียมพร้อมที่จะลงทุนอย่างรวดเร็วเมื่อโอกาสนั้นมาถึง

21. อ่าน, อ่านให้มาก แล้วคิดให้ดี
บัฟเฟตต์ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวันในการอ่านหนังสือ และใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงในการคุย

โทรศัพท์ ส่วนเวลาที่เหลือหมดไปกับการ “คิด”
อุตสาหกรรมการลงทุนนั้นไม่เหมือนกับอุตสากรรมอื่น ๆ การที่จะลงทุนนั้นต้องสะสมความรู้ และยังมีสิ่งที่

คุณไม่รู้อีกมากมายซึ่งพร้อมที่จะให้คุณค้นพบ

22. ใช้แรงม้าของคุณให้เต็มที่
คนทั่ว ๆ ไปมี “เครื่องยนต์ขนาด 400 แรงม้า” แต่สามารถใช้ได้เพียง 100 แรงม้าเท่านั้น
ใครก็ตามที่สามารถใช้แรงม้าได้เต็มที่จากเครื่องยนต์ขนาดแค่ 200 แรงม้า ก็สามารถทำได้ดีกว่าคนอื่น ๆ มาก

23. อย่าทำพลาด จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น
ให้ความสำคัญกับการศึกษาความผิดพลาด และเรียนรู้ที่จะไม่ทำมัน
จงระวังคำสัญญาที่พร่ำบอกเกี่ยวกับการรวยเร็วและผลตอบแทนที่สูงลิ่ว ซึ่งมันมักจะมาควบคู่กับความเสี่ยง

ก้อนโตเสมอ
จงกระตือรือร้นที่จะตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเองและอย่าสละอำนาจการควบคุมพอร์ตโพลิโอของคุณไปให้

คนอื่น
จับตาดูต้นทุนอยู่เสมอ
“จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น มันไม่มีเหตุผลที่จะใช้ชีวิตอันแสนเศร้าบนเรื่องราวความผิดพลาดที่คน

อื่นเคยทำมาแล้ว”

24. ก้าวสู่การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้
สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการลงทุนแบบรอบรู้ก็คือ มันสามารถสร้างความมั่งคั่งให้คุณได้ถ้าคุณไม่รีบร้อนจนเกินไป

และมันจะไม่ทำให้คุณจนลง
จงต่อสู้กับเสียงรบกวนต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะแห่งความเป็นจริง
ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
จดสิ่งต่าง ๆ ที่คุณทำถูก จดสิ่งต่าง ๆ ที่คุณทำผิด จทำวันนี้ให้มากและทำวันหลังให้น้อยลง
การลงทุ่นคือ การหลีกเลี่ยงปัญหาทางธุรกิจให้ได้มากที่สุด และแก้ปัญหาทางธุรกิจให้น้อยที่สุด มันเกี่ยวกับ

การหาและกระโดดข้าม “รั้วที่สูงแค่ 1 ฟุต” ไม่ใช่การพัฒนาความสามารถพิเศษเพื่อที่จะกระโดดข้ามรั้วที่สูง 7

ฟุต

ขอบคุณ: How Buffett Does It ตามรอยวอเร็น บัฟเฟตต์ โดย James Pardoe แปลโดยเอกสิทธิ์ หัสสรังสี

ทฤษฎี Margin Of Safety (MOS)

ทฤษฎี Margin Of Safety บทเรียนที่ทำให้ บัฟเฟตต์เดินทางลัดไปสู่วิถีแห่งความ “ร่ำรวย”

ทฤษฎี Margin Of Safety ของ “เบนจามิน เกรแฮม”...“Margin of Safety” - ถ้าแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัว ก็ได้ใจความว่า “ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย = ราคาหุ้นที่สามารถเข้าซื้อได้โดยมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ”

หลักการลง ทุนของเกรแฮมเพื่อให้เกิด Margin of Safety พอสรุปได้ดังนี้

1. ลงทุนในบริษัทใหญ่ที่มียอดขายดี
2. ลงทุนในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผล
3. ลงทุนในบริษัทที่มีสภาพคล่องสูง มีกระแสเงินสดดี และมีภาระหนี้ต่ำ
4. ลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน คือมีความมั่นคงและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
5. เน้นการวิเคราะห์อัตราส่วนราคา หรือ Price Multiples โดยดูจากค่า P/E โดยต้องมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี หรือ Price to Book ที่ควรต่ำกว่า 1.2 เท่า

จุดแข็ง-จุดอ่อน-เบื้องต้น ของประเทศต่างๆใน AEC ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน



จุดแข็ง-จุดอ่อน-เบื้องต้น ของประเทศต่างๆใน AEC ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
อ่านต่อ: http://www.thai-aec.com/140#ixzz21XnG1Bri

1.ประเทศสิงคโปร์
จุดแข็ง
• รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีสูงสุดของอาเซียน และติดอันดับ 15 ของโลก
• การเมืองมีเสถียรภาพ
• เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ
• แรงงานมีทักษะสูง
• ชำนาญด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล และธุรกิจ
• มีที่ตั้งเอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางเดินเรือ
จุดอ่อน
• พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและขาดแคลนแรงงานระดับล่าง
• ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจสูง
ประเด็นที่น่าสนใจ
• พยายามขยายโครงสร้างเศรษฐกิจมายังภาคบริการมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้า

2.ประเทศอินโดนีเซีย

จุดแข็ง
• ขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
• ตลาดขนาดใหญ่ (ประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
• มีชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก
• มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายและจำนวนมาก โดยเฉพาะถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ โลหะต่างๆ
• ระบบธนาคารค่อนข้างแข็งแกร่ง
จุดอ่อน
• ที่ตั้งเป็นเกาะและกระจายตัว
• สาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร โดยเฉพาะการคมนาคม และการเชื่อมโยงระหว่างประเทศ
ประเด็นที่น่าสนใจ
• การลงทุนส่วนใหญ่เน้นใช้ทรัพยากรในประเทศเป็นหลัก

3.ประเทศมาเลเซีย

จุดแข็ง
• รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียน
• มีปริมาณสำรองน้ำมันมากเป็นอันดับ 3 และก๊าซธรรมชาติมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิก
• ระบบโครงสร้างพื้นฐานครบวงจร
• แรงงานมีทักษะ
จุดอ่อน
• จำนวนประชากรค่อนข้างน้อย ทำให้ขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะระดับล่าง
ประเด็นที่น่าสนใจ
• ตั้งเป้าหมายเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ในปี 2563
• ฐานการผลิตและส่งออกสินค้าสำคัญที่คล้ายคลึงกับไทย
• มีนโยบายพัฒนาการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างจริงจัง


4.ประเทศบรูไน

จุดแข็ง
• รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน และอันดับ 26 ของโลก
• การเมืองค่อนข้างมั่นคง
• เป็นผู้ส่งออกน้ำมัน และมีปริมาณสำรองน้ำมันอันดับ 4 ของอาเซียน
จุดอ่อน
• ตลาดขนาดเล็ก ประชากรประมาณ 4 แสนคน
• ขาดแคลนแรงงาน
ประเด็นที่น่าสนใจ
• มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
• การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศพึ่งพาสิงคโปร์เป็นหลัก
• ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารค่อนข้างมาก


5.ประเทศฟิลิปปินส์

จุดแข็ง
• ประชากรจำนวนมากอันดับ 12 ของโลก (>100 ล้านคน)
• แรงงานทั่วไปมีความรู้-สื่อสารภาษาอังกฤษได้
จุดอ่อน
• ที่ตั้งห่างไกลจากประเทศสมาชิกอาเซียน
• ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และสวัสดิภาพทางสังคมยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
ประเด็นที่น่าสนใจ
• สหภาพแรงงานมีบทบาทค่อนข้างมาก และมีการเรียกร้องเพิ่มค่าแรงอยู่เสมอ
• การลงทุนส่วนใหญ่เป็นการรองรับความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก

6.ประเทศเวียดนาม

จุดแข็ง
• ประชากรจำนวนมากอันดับ 14 ของโลก (~90 ล้านคน)
• มีปริมาณสำรองน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิก
• มีแนวชายฝั่งทะเลยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร
• การเมืองมีเสถียรภาพ
• ค่าจ้างแรงงานเกือบต่ำสุดในอาเซียน รองจากกัมพูชา
จุดอ่อน
• ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
• ต้นทุนที่ดินและค่าเช่าสำนักงานค่อนข้างสูง
ประเด็นที่น่าสนใจ
• มีรายได้และความต้องการสูงขึ้นจากเศรษฐกิจที่โตเร็ว

7.ประเทศกัมพูชา

จุดแข็ง
• มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ำ ป่าไม้ และแร่ชนิดต่างๆ
• ค่าจ้างแรงงานต่ำสุดในอาเซียน (1.6 USD/day)
จุดอ่อน
• ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
• ต้นทุนสาธารณูปโภค (น้ำ ไฟฟ้า และการสื่อสาร) ค่อนข้างสูง
• ขาดแคลนแรงงานมีทักษะ
ประเด็นที่น่าสนใจ
• ประเด็นขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาอาจบั่นทอนโอกาสการขยายการค้า-การลงทุนระหว่างกันในอนาคตได้

8.ประเทศลาว

จุดแข็ง
• มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ำและแร่ชนิดต่างๆ
• การเมืองมีเสถียรภาพ
• ค่าจ้างแรงงานค่อนข้างต่ำ (2.06 USD/day)
จุดอ่อน
• ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
• พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงและภูเขา การคมนาคมไม่สะดวก ไม่มีทางออกสู่ทะเล
ประเด็นที่น่าสนใจ
• การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานน้ำ และเหมืองแร่

9.ประเทศพม่า

จุดแข็ง
• มีทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก
• มีพรมแดนเชื่อมโยงจีนและอินเดีย
• ค่าจ้างแรงงานค่อนข้างต่ำ (2.5 USD/day)
จุดอ่อน
• ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
• ความไม่แน่นอนทางการเมือง และนโยบาย
ประเด็นที่น่าสนใจ
• การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในประเทศเชิงรุก ทั้งทางถนน รถไฟความเร็วสูง และท่าเรือ10.ประเทศไทย

10.ประเทศไทย

จุดแข็ง
• เป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรหลายรายการรายใหญ่ของโลก
• ที่ตั้งเอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางโครงข่ายเชื่อมโยงคมนาคมด้านต่างๆ
• สาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วถึง
• ระบบธนาคารค่อนข้างเข้มแข็ง
• แรงงานจำนวนมาก
จุดอ่อน
• แรงงานส่วนใหญ่ยังขาดทักษะ
• เทคโนโลยีการผลิตส่วนใหญ่ยังเป็นขั้นกลาง
ประเด็นที่น่าสนใจ
• ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอาเซียนในหลายด้าน อาทิ ศูนย์กลางโลจิสติกส์ และศูนย์กลางการท่องเที่ยว
• ดำเนินงานตามแผนปรับตัวสู่ AEC ปี 53-54 ได้ 64% สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของอาเซียนที่ 53% สะท้อนการเตรียมพร้อมอย่างจริงจัง

วันอังตารที่ 24/7/2555 SET (Daily) 1,187.64 (+2.53)

ครึ่งวันเช้าฝรั่งขาย - 350 ล้านบาท 24/07/55
ครึ่งวันเช้าฝรั่งขาย - 350 ล้านบาท 24/07/55




วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เผยโฉม 12 กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

http://bit.ly/Mgzydc


เผยโฉม 12 กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) นำทัพโดย 'ธันวา เลาหศิริวงศ์' โดยมี 2 เซียนหุ้นพันล้าน ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เป็นที่ปรึกษาสมาคม


สดๆร้อนๆกับ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ที่ยกระดับจากสมาชิกเว็บไซต์ขึ้นมาเป็นสมาคมอย่างสมบูรณ์แบบ โดยมี "ไก่" ธันวา เลาหศิริวงศ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย รับหน้าที่เป็นนายกสมาคม รุ่นที่ 1 มีวาระ 2 ปี กรรมการสมาคมมีทั้งหมด 12 คน โดยมี 2 ผู้อาวุโส ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสมาคม



ภายหลังรับโทรศัพท์ติดต่อจากกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ธันวา เลาหศิริวงศ์ นายกสมาคมวีไอ รุ่นที่ 1 รีบเป็นธุระโทรศัพท์ชักชวนกรรมการสมาคมทุกคนให้มาเปิดตัวพร้อมกัน ไม่ว่าใครติดธุระอะไรหรืออยู่ต่างจังหวัดก็ห้ามปฏิเสธ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงกับบทบาทที่มีสมาชิกเว็บไซต์ "หลายหมื่นคน" ฝากความหวังเอาไว้
นายกสมาคมวีไอ รุ่นที่ 1 แจกแจงให้ฟังว่า สมาคมเรามีกรรมการ 12 คน ทุกคนมาทำงานด้วยจิตอาสาโดยไม่รับค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ทำไม! ต้องยกระดับจากเว็บไซต์เป็นสมาคม วัตถุประสงค์หลักเราต้องการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเน้นคุณค่า ไม่ได้รวมตัวเพื่อไปสร้างกระแสให้ใคร ที่ผ่านมาเวลาหุ้นตัวไหนขึ้นเรามักโดนยัดข้อหาตลอด (หัวเราะ)
"ที่สำคัญกรรมการทุกคนเป็นนักลงทุนแนว VI ที่ประสบความสำเร็จ เราอยากตอบแทนสังคมบ้างโดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และต้องการช่วยเหลือด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเราจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากที่เรียกเก็บค่าสมาชิกรายปี แบ่งเป็นสมาชิก 1 ปี 500 บาท สมาชิก 3 ปี 1,200 บาท สมาชิก 5 ปี 2,000 บาท สำหรับนักศึกษาสามารถสมัครสมาชิกรายปีในอัตรา 200 บาท เงินส่วนหนึ่งจะนำไปช่วยเหลือสังคมตอนนี้กำลังหารือในเรื่องของรูปแบบความช่วยเหลือ"
นอกจากนี้ การยกระดับเป็นสมาคมยังทำให้สมาชิกสามารถขอเข้าไปเยี่ยมชมบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และมีตัวตนที่พิสูจน์ได้ เดิมอาจมีนักลงทุนบางกลุ่มแอบอ้างว่าตัวเองเป็นนักลงทุน VI แล้วขอเข้าไปเยี่ยมชมกิจการ แต่จริงๆ แล้วเป็นพวก “พันธุ์ผสม” ทำให้นักลงทุน VI จริงๆ เขาเสียหาย
สำหรับโฉมหน้ากรรมการสมาคมทั้ง 12 คน นอกจาก ธันวา เลาหศิริวงศ์ นายกสมาคมแล้ว ก็มี "ภา" ภาสุชา อุดรวณิช มีชื่อล็อกอินในเว็บไซต์ว่า “KIRI” เธอจะรับหน้าที่เชิญเหล่าบริษัทจดทะเบียนมาตอบคำถามคาใจของนักลงทุน และดูแลข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เธอบอกว่าบริษัทจดทะเบียนสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ให้ความรู้นักลงทุนได้..ฟรี!!!
“หมอมุข” นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ รับเป็นอุปนายกสมาคม ชื่อล็อกอินว่า “Paul vi” หมอมุขจะทำหน้าที่แทนนายกสมาคมกรณีติดภาระกิจ มีบทบาทเป็นหัวหน้าห้องดูแลความเรียบร้อยของกระทู้ ข้อความในเว็บไซต์ รวมถึงระบบไอที ทีมหมอมุขมีเกือบ 10 คน ทีมนี้จะเน้นสร้างความโปร่งใส
"โจ้" อนุรักษ์ บุญแสวง ชื่อล็อกอินว่า “ลูกอีสาน” โจ้จะดูแลกฎกติกามารยาท ที่ผ่านมาก็มีชื่อเสียงเรื่องความเป็นกลางอยู่แล้ว หน้าที่หลักจะช่วยจัดงานกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านมาก็จัดสัมนาร่วมกับเพื่อนนักลงทุนในอำเภอหาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น “กานต์” วรพงศ์, “ตี้” ธนะสิน พิพัฒน์กิตติกุล (ผู้ถือหุ้น HTECH, SNC เป็นต้น) โดยจัดไตรมาสละ 1 ครั้ง มีนักลงทุนเข้าฟังมากถึง 50 คน เก็บค่าเข้าฟังคนละ 500 บาท ต่อไปจะลดราคาเหลือคนละ 300 บาท ซึ่งทางสมาคมเห็นว่าแนวคิดนี้น่าสนใจกำลังหารือเพื่อปรับมาใช้กับทางสมาคม

"ฉัตร" ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ กรรมการและเลขานุการสมาคม ชื่อล็อกอิน “Chatchai” นิสัยเป็นคนเที่ยงตรง จะคอยดูแลข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน "หลิน" อังสินี อภิวัชรกุล กรรมการและเหรัญญิก ชื่อล็อกอิน “Kongkang” ดูแลฝ่ายการเงิน หน้าที่นี้สำคัญเรื่องการเงินต้องทำให้โปร่งใส "หนิง" เสริฐสรรพ์ อภิวัชรกุล ชื่อล็อกอิน “Little wing” เป็นสามีของ "หลิน" จะรับหน้าที่ดูแลห้องบทความ เพื่อให้นักลงทุนได้ประโยชน์สูงสุด หนิงจะหาบทความดีๆ มาให้นักลงทุนได้อ่าน
"ขาว" ณภัทร ปัญจคุณาธร กรรมการและนายทะเบียน ชื่อล็อกอิน “KAO” เป็นนักลงทุนจากนครศรีธรรมราช ขาวจะคอยติดตามและเก็บข้อมูลสมาชิกทุกคน เพราะมีความรู้ด้านบัญชี อาจไปช่วยงาน "หนิง" เรื่องบทความบ้าง "กานต์" ณัฐชาต คำศิริตระกูล ชื่อล็อกอิน “Mario” จะรับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของสำนักงาน การรับสมัครสมาชิก ส่วน "เอก" ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง ชื่อล็อกอิน "Epeterpanz" มีความสามารถในการบริหารงานมาก เพราะมีบริษัทส่วนตัว เอกลงทุนในตลาดหุ้นมานานตั้งแต่สมัย บง.เอกธนกิจ (ฟินวัน)
"เว็บ" พรชัย รัตนนนทชัยสุข ชื่อล็อกอิน “WEB” เป็นนักแปลหนังสือด้านการลงทุนมือหนึ่งของไทย จะมารับหน้าที่ดูแลกิจกรรม และงานสัมนาต่างๆ หลังจากนี้สมาคมจะมีจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ล่าสุดได้นักลงทุนมือดีๆ หลายคนมาให้ความรู้ เช่น "โจ้" ลูกอีสาน อาจารย์นิเวศน์ คเชนทร์ เบญจกุล และ "ซี" พีรยุทธ์ เหลืองวารินกุล เจ้าของฉายา "นักลงทุนปฏิบัติธรรม" กรรมการคนสุดท้าย คือ “หมอเค” ศุภศักดิ์ หล่อธนวณิชย์ รับหน้าที่ดูแลสมาชิกสัมพันธ์ เพราะรู้จักคนเยอะ
"กรรมการเกือบทุกคนเป็น "ชุดเก่า" ตั้งแต่สมัย สุทัศน์ ขันเจริญ เป็นประธานวีไอ ทุกคนมีความเป็นกลางเห็นได้จากการลงทุนส่วนตัว จริงๆ ทุกคนอยากจะเลิกเป็นกรรมการแล้ว แต่ผมก็ขอร้องให้ทีมงานอยู่ช่วยกันก่อน คนเหล่านี้เขาอยากช่วยเหลือสังคมจริงๆ" นายกสมคมวีไอ กล่าวปิดท้า

วันจันทร์ที่ 23/7/2555





SET (Daily) 23 July 2012 " ไปละโว้ย "
ล่าสุด : 1,185.11 (-23.93) คิดเป็น (1.94%)
มูลค่า 28,427.5 ล้านบาท
ดัชนีหลุดแนวรับ 1,193.13 เกิดเป็นสัญญาณขาย ภาพราคาหลุดออกจากกรอบรูปลิ่ม Wage แนะนำโกยยยยยย (รอจนกว่าจะมีสัญญาณซื้อรอบใหม่) by FB:mana Shuanchoophon

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 10/7/2555



วันพฤหัสที่ 5/7/2555






ปัญหาทางความคิด โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


ปัญหาทางความคิด

โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20120710/460654/news.html

คนที่เริ่มศึกษาเรื่องหุ้น ช่วงแรกๆ เขาจะรู้จักกับแนวความคิดแบบหนึ่ง ที่เขาเชื่อว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องและจะพาให้เขาประสบความสำเร็จในการลงทุน ต่อมาเมื่อเขาได้ฟัง ได้อ่าน และศึกษาเพิ่มขึ้น เขาอาจพบว่ายังมีแนวความคิด หรือทฤษฎีอื่นที่น่าสนใจ และช่วยให้ผลงานการลงทุนของเขาดีขึ้น แม้ทฤษฎี หรือแนวความคิดใหม่นี้ อาจไม่ตรง หรือแย้งกับสิ่งที่เขาเข้าใจมาในอดีต หลักการไหนกันแน่ ที่เขาควรเชื่อและปฏิบัติตาม แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น ลองมาดูกันว่า มีแนวความคิดอะไรที่ดูเหมือนจะแย้งกันสุดขั้ว
ความคิด ข้อแรกที่ดูมีปัญหา คือ การถือหุ้น สั้นไม่เสี่ยง การถือหุ้นยาว คือ ความเสี่ยง เหตุผล คือ ในระยะยาวเราคาดการณ์อะไรไม่ได้ จึงเป็นความเสี่ยง และนี่คือ ความคิดของนักเล่นหุ้นที่เน้นแนวเทคนิค แต่อีกด้านหนึ่ง คนที่เป็น Value Investor ที่ซื้อหุ้นเหมือนกับการลงทุนทำธุรกิจ กลับมองว่า การถือหุ้นสั้นมีความเสี่ยง เพราะระยะสั้นตลาดหุ้นอาจผันผวนจากปัจจัยด้านมหภาค เช่น เรื่องเศรษฐกิจและตลาดหุ้น แต่ในระยะยาว ถ้ากิจการเราวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีว่า จะเติบโตและกำไรเพิ่มขึ้น ในที่สุดแล้ว ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นตาม ดังนั้น ในระยะยาวโอกาสที่จะขาดทุนก็จะน้อยมาก ดังนั้น ถือหุ้นสั้น เสี่ยง ถือยาว ไม่เสี่ยง
ความคิด ข้อสอง ที่หลายครั้งเราได้ยินว่า การลงทุน หรือการเล่นหุ้น อย่าไปซื้อตอนหุ้นกำลังลง ต้องซื้อตอนหุ้นกำลังขึ้น นักเล่นหุ้น "รายใหญ่" ที่ใช้สไตล์การเล่น "แรงและเร็ว" บางคนถึงกับบอกเลยว่า ถ้าซื้อแล้วหุ้นไม่ขึ้น ต้องขายทันที ถ้าซื้อแล้วหุ้นวิ่ง ก็จะซื้อเพิ่มขึ้นไปอีก เรียกว่า Average Up คือ ซื้อถัวเฉลี่ยในราคาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลับกัน เรามักจะได้ยินว่านักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นระยะยาวควรจะซื้อหุ้นแบบ Average Down คือ ซื้อหุ้นเมื่อราคาลดลง ยิ่งลดลงก็ยิ่งซื้อเพื่อ "ลดต้นทุน" ต่อหุ้นลง นอกจากนี้ เราก็ยังมี ทฤษฎี Dollar Cost Average ที่บอกให้ซื้อหุ้นเฉลี่ยไปเรื่อยๆ ด้วยเม็ดเงินเท่ากันทุกเดือน หรือทุกปีโดยไม่ต้องสนใจหุ้นจะขึ้นหรือลง ข้อดี คือ ถ้าเดือนไหนหุ้นขึ้นเราซื้อหุ้นได้น้อยหน่อย ช่วงไหนหุ้นลง เราซื้อหุ้นได้มากหน่อยดังนั้น ต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้นก็จะลดลง
ความคิด ข้อที่สาม คือ วิธีที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีและเร็วที่สุด คือ ซื้อหุ้นที่ถูก และขายเมื่อราคาขึ้นมา "เต็มมูลค่า" นี่คือ แนวทางของ VI ส่วนใหญ่มักจะวิเคราะห์หา "มูลค่าที่แท้จริง" อย่าง "ละเอียดถี่ถ้วน" และซื้อขายหุ้นค่อนข้างบ่อย เพื่อสร้างผลตอบแทน "อย่างรวดเร็ว" ขณะที่อีกแนวความคิดหนึ่ง คือ ซื้อหุ้นกิจการที่ดีมาก และถือไว้ยาวนานตราบที่ยังดีอยู่ นี่คือแบบที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้ แต่ VI จำนวนมาก ก็ไม่เชื่อว่าวิธีนี้จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากๆ ได้ เหตุผล คือ ในระยะยาวแล้ว เป็นเรื่องยากที่บริษัทจะโตได้เกินปีละ 15-20% ดังนั้น ถือหุ้นแบบนี้ในระยะยาวพอร์ตจะโตได้มากก็ปีละ 15-20% สู้ซื้อหุ้นที่ถูกและขายภายในเวลาไม่กี่เดือน เมื่อได้กำไร 15-20% ก็ไปซื้อหุ้นถูกตัวใหม่ที่จะได้กำไรอีก 15-20% ถ้าทำแบบนี้ได้ปีละ 3-4 ครั้งก็จะได้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 40-50% เป็นอย่างน้อย
ความคิด ข้อที่สี่ คือ การลงทุน เราควรต้อง กระจายความเสี่ยง โดยการถือครองหุ้นหลายๆ ตัว และแต่ละตัวอาจไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตโดยรวม การทำแบบนี้จะทำให้ความเสี่ยงลดลง ตรงกันข้าม เรามีแนวความคิดการลงทุนแบบ Focus หรือเน้นลงทุนในหุ้นน้อยตัวแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งช่วงแรกๆ ของการลงทุน บางครั้งเขาถือหุ้นตัวเดียวเกิน 30-40% ของพอร์ตก็เคยมี การลงทุนแบบนี้จะทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญแต่ก็มีความเสี่ยงสูง คนที่สนับสนุนแนวความคิดนี้ มักจะบอกว่า เขาศึกษาตัวหุ้นนี้มาเป็นอย่างดี เขาไม่คิดว่าเป็นความเสี่ยง ในประเด็นเรื่องกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงโดยการถือครองหุ้นนี้ ในหมู่นักลงทุนไทย ซึ่งรวมถึง “VI” จำนวนมาก พวกเขาลงทุนยิ่งกว่าคำว่า Focus นั่นคือ หลายคนถือหุ้นตัวเดียวคิดเป็น 50% หรือบางคนถือหุ้นตัวเดียว 100% และบางครั้งถือเกิน 100% นั่นคือ ใช้มาร์จินซื้อหุ้นเพิ่มด้วย
ความคิด ที่ห้า คือ ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้น หรือ ภาพของเศรษฐกิจมหภาค มีความสำคัญต่อการลงทุน ถ้าภาพไม่ดี เราต้องออกจากตลาด เราไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในตลาดตลอดเวลา ว่าที่จริง ปีปีหนึ่งอาจจะเล่นเพียง 2-3 รอบ หรือบางปีอาจไม่เล่นเลยก็ได้ ตรงกันข้าม อีกความคิดหนึ่ง คือ เศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร เราไม่ต้องสนใจ สนใจเฉพาะว่า กิจการที่เราลงทุนเป็นอย่างไร ถ้าดีอยู่เราก็ซื้อหรือถือไว้ เพราะเราลงทุนกับบริษัท เราไม่ได้ลงทุนในดัชนีหรือลงทุนซื้อหุ้นทั้งตลาด โดยทั่วไปแล้ว เราจะอยู่ในตลาดตลอดเวลา และบางคนแทบจะถือหุ้น 100% ไม่ถือเงินสดเลยด้วยซ้ำ
ความคิด ที่หก คือ แนวคิด กลยุทธ์ และข้อมูลทางเทคนิค กับวิธีการลงทุนแบบ VI เอามาใช้ประกอบกันได้ หลายๆ คนมีความคิดว่าเขาหาหุ้นแบบ VI แต่จังหวะซื้อหรือขาย ดูจากข้อมูลทางเทคนิค เพราะเชื่อว่าวิธีนี้ จะทำให้ทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการใช้หลักการแบบ VI อย่างเดียว ส่วนอีกแนวทางหนึ่งมักมาจากพวก "VI พันธุ์แท้" ที่มองว่า หลักการทางเทคนิค ไม่มีประโยชน์ และบ่อยครั้งขัดแย้งกับหลักการ "พื้นฐาน" ของกิจการ การนำมาใช้ หรือใช้ร่วมกับวิธีการของ VI ไม่ถูกต้อง และอาจทำให้เกิดความเสียหายได้
ความคิด ที่เจ็ด คือ แนวความคิดที่ว่าสไตล์และวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง ย่อมต้องขึ้นอยู่กับตัวนักลงทุนด้วย นั่นแปลว่า หลักการที่บัฟเฟตต์ใช้ และประสบความสำเร็จอย่างสูง เราจะเอามาใช้ตรงๆ ไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่บัฟเฟตต์ เราไม่มีความสามารถและมีอีคิว เหมือนบัฟเฟตต์ เราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่เหมือนบัฟเฟตต์ และสุดท้าย คือ เราไม่ได้อยู่ในอเมริกา สิ่งที่เราควรทำก็คือ ดูว่า "จริต" เราเป็นอย่างไร และเลือกหลักการลงทุนที่ "ถูกกับจริตเรา" มากที่สุด ในอีกด้านหนึ่ง มีความคิดว่า ต้องปรับตัวเรา หรือสอนให้ตัวเราเรียนรู้หลักการ และวิธีการลงทุนที่ถูกต้องที่สุด ถ้าจริตเราไม่เหมาะสมกับหลัก หรือวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง ต้องแก้ไข มิฉะนั้น จะไม่ประสบความสำเร็จ เหนือสิ่งอื่นใดคือ หุ้นนั้นไม่รู้หรอกว่าใครเป็นเจ้าของ ไม่เปลี่ยนตามเรา เราต้องเปลี่ยนแปลงตามมัน
เขียนถึงตรงนี้หลายคนอาจเริ่มสับสน และไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง และจะเชื่อด้านไหนในแต่ละเรื่องแต่ละประเด็น ส่วนตัวผมเอง คิดว่า ด้านไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขึ้นอยู่กับความเชื่อ หรือแนวความคิดพื้นฐานของเรา ถ้าเราเป็น "VI พันธุ์แท้" เรามีแนวโน้มจะเชื่อด้านหนึ่งแต่ถ้าเราเป็น "นักเก็งกำไร" เรามีแนวโน้มเชื่อไปอีกด้านหนึ่ง และผมเชื่อว่าแนวทางนั้น อาจดีกับความคิดพื้นฐานดังกล่าว สิ่งที่ผมแนะนำ คือ เวลาเราศึกษา ต้องดูว่าเหตุผลที่เขาใช้คืออะไร ความคิดนั้นมาจากหลักการอะไร ถ้ามาจากแนวคิดพื้นฐานที่เราใช้ นั่นคือ ความคิดที่ถูกต้อง และควรจะยึดถือ อย่าวอกแวก การลงทุนประกอบไปด้วยหลักการต่างๆ มากมาย ถ้าไม่สอดคล้องกัน ก็จะเหมือนเครื่องจักรที่เดินไม่ราบรื่นแน่นอน





Tags : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันพุทธที่ 20/6/55





วันนี้ผมขอคุยถึงเรื่อง MINT บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ธุรกิจหลักด้านการลงทุน ในกิจการโรงแรมภายใต้ brand อนันตรา โฟร์ซีซั่นส์, แมริออท เป็นต้น ภัตตาคาร ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้า ธุรกิจอาหารภายใต้ brand Pizza Company, Swensen 's, Sizzler, แดรี่ควีน กลุ่มบริษัทประกอบกิจการส่วนใหญ่ในประเทศและในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ จีน มัลดีฟส์ อาหรับเอมิเรตส์ ศรีลังกา เป็นต้น

ในไตรมาส 1/55 บริษัทมีกำไร 1,275 ลบ. เทียบกับปี 2554 ที่มีกำไร 822 ลบ. นับว่าโตขึ้นทีเดียว Consensus ให้ราคาเป้าหมายปี 55 ไว้น่าสนใจเฉลี่ยที่ 15 บาท (สูงสุด 17.5 ต่ำสุด 11 บาท) เมื่อมองในทางเทคนิคเราพบว่าราคาเคลื่อนไหวแบบ Sideway มีกรอบอยู่บริเวณ 12.6 – 13.6 จากการเฝ้าสังเกตการซื้อขายของ NVDR เราพบว่ามีการซื้อเข้ามาตลอด แต่ราคาไม่ได้ขยับไปไหน ดังนั้นน่าจะเป็นจังหวะที่ดีของนักลงทุนระยะยาวที่จะสะสมหุ้นที่มีการจัดการบริหารความเสี่ยงที่ดี
ฺBy คิม พ่อลิงน้อย ผมเข้าใจดีน่ะครับว่าการวิ่งของ SET ในวันนี้ทำให้เพื่อน ๆ หลายคนเซ็งมาก มันก็ธรรมดาน่ะครับสำหรับการวิ่งในกรอบที่ยังไม่มีแนวโน้มหรือที่คนเค้าเรียกว่า Sideway หรือบางคนเรียกว่า Non Direction แต่ตามจริงนั้น หากเราสามารถประเมินทิศทางได้ใกล้เคียง เราก็จะรู้ว่าตามจริงมันก็มีประโยชน์เช่นกัน แต่จุดนี้ "ความหนักแน่น" สำคัญเป็นที่สุด ผมเองก็อยากให้หุ้นในพอร์ทผมวิ่ง แต่บางทีมันก็ไม่วิ่ง ช่างมัน ในกรณีหุ้นขาขึ้น มันไม่ได้ขึ้นกันทุกตัวหรอก ตัวโน้นวิ่งก่อน ตัวนี้วิ่งตาม ตัวโน้นอ่อนมา ตัวนี้ขึ้นไป มันก็เป็นอย่างนี้เสมอ แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร ก็วิธีกระจายความเสี่ยงนั่นล่ะที่จะได้ผล เพราะหุ้นแต่ล่ะตัว รอบวิ่งมันไม่เท่ากัน โดยเฉพาะการวิ่งในคลื่นขาขึ้น ปกติตัวใหญ่วิ่งก่อน ตัวกลางตามมา ตบท้ายด้วยตัวเล็ก แต่้... ไม่เสมอไป ทุกอย่างไม่มีกฎตายตัว เพราะหากเราเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี ไม่มีข่าวร้ายแอบอยู่ข้างหลัง มีแต่ข่าวดีดักอยู่ข้างหน้า อย่างไรเสีย สุดท้ายมันก็ต้องวิ่งเข้าหาพื้นฐาน ดังนั้น วันนี้ไม่วิ่ง ช่างมัน พรุ่งนี้ไม่วิ่ง ก็ช่างมัน รับรองว่าสักวัน มันจะวิ่ง และเกินคุ้มเกินคาด ตามประสา "ฉันอั้นมานานแล้ว พอเปิดประตูให้ ฉันก็ขอเต็มที่สักหน่อย" (คนปวดท้องแต่ห้องน้ำไม่ว่าง คงเข้าใจเรื่องนี้ดี ฮ่าๆๆ)
หุ้นมีการเคลื่อนไหวเป็นรอบบ โดยมี 4 ช่วงจังหวะ คือ ระยะสะสมหุ้น, ช่วงหุ้นวิ่งขึ้น, ช่วงลังเลปลายขาขึ้น และช่วงปรับฐานลงมา ดังนั้นช่วงเวลาแห่งการซื้อหุ้นก็คือหลังจากหุ้นปรับลงมามาก และเข้าสู่ระยะสมสมหุ้นนั่นเอง ช่วงราคานิ่งจะเป็นช่วงที่รายใหญ่สะสม ไม่ว่าจะเป็นกองทุน, ต่างชาติ หรือรายใหญ่ต่างต้องการกำไรกันทั้งนั้น เมื่อสะสมมากพอสมควรก็เข้าสู่ระยะเวลาดันราคาหุ้นขึ้นไป ดังนั้นเราจะมีเวลาหนึ่งที่ราคาไม่ค่อยจะไปไหน ขึ้นได้สัำกพักก็โดนดันลงมา ก็ของยังไม่ครบ เขาก็ทุบเป็นธรรมดา ช่วงนี้จะทำให้เราอึดอัด หุ้นจะนิ่ง, ซึม หรือโดนทุบแต่ไม่ต่ำกว่าราคาลึกสุด จนสุดท้ายรายย่อยก็ทนไม่ไหว คิดว่าเสียเวลา เอาเงินไปซื้อหุ้นที่กำลังวิ่งดีกว่า แล้วหุ้นก็เปลี่ยนมือจากรายย่อยเข้าสู่รายใหญ่, กองทุนและต่างชาติ แต่เราสามารถสังเกตได้ว่าเราโดนหลอกหรือไม่ ก็ด้วยวิธีทางเทคนิค เช่น RSI, MACD มักจะเกิด Divergence หรือสัญญาณขัดแย้งกัน ถ้ามีของในพอร์ทแล้วก็ไม่ต้องกลัว ถ้ามีทุนอยู่ก็เตรียมลุยได้เลย
ปล. ระยะนี้คงได้ยินคำว่า Divergence จากผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คน รู้กันน่ะครับ

วันพุทธ 04/07/2555

วันนี้ยอดฝรั่งน่าจะเป็น Net Buy ประมาณ 1,500 ล้านบาท...แต่ที่เห็นขายสองพันกว่าล้าน อาจจะเป็นเพราะมี Big Lots หุ้น CPF ประมาณ 3,600 ล้านบาทครับ...แถมมี Long Tfex อีกประมาณสองพันสัญญา...ค่าเงินก็ยังแข็งค่า น่าจะคล้ายกับกรณี Big Lots ของ CPALL ที่ทำให้ไอดซื้อขายดูเยอะครับ...
ความคิดเห็นส่วนตัวน่ะครับ...เพราะเท่าที่ดูตลาดทั้งวัน แรงซื้อกลุ่มพลังงานเยอะทีเดียว...อาจจะตกใจที่น้องไก้วิ่งหนีไปบางจาก...5555
ตลาดช่วงนี้ไม่ง่าย...เหมือนมีอะไรมากกั๊กไม่ให้ขึ้นแรงไม่ให้ลงแรง...น่ากลัวเหมือนจะมีอะไรแปร่งๆ...ระยะเฝ้าระวัง :) by wizardkit


วันนี้หรั่งขายไก่ 3พันกว่า จากที่รับไก่มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คนรับคือใครไม่รู้ แต่ย่อยซื้อ 3 พันล้าน หรั่งซื้อ SCC วันแรก แต่ไปดูฝั่ง Tfex หรั่งเปิด Long นะจ๊ะ

Dtac ไม่น่าคันเลย ภาพไม่ชัดแต่คันอ๊ะ