วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

จิตวิทยาการลงทุน


http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9480000058193
บทความนี้ได้รับการสนับสนุนโดย
       สายงานบริหารกองทุนส่วนบุคคล
       บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด
       e-mail address : bls-privatefund@bualuang.co.th
      
       ในทฤษฎีพอร์ตการลงทุนสมัยใหม่ หรือ Modern Portfolio Theory (MPT) จะสมมติให้นักลงทุนทุกราย ทำการลงทุนอย่างมีเหตุผล หรือเป็น Rational Investor อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ยังมีนักลงทุนอีกมาก ที่มีพฤติกรรมในการลงทุนที่เป็นผลเสียต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งมีรูปแบบดังต่อไปนี้
      
       1. ผลกระทบจากการเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป (Effect of Over-confidence)
       นักลงทุนประเภทที่เชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป มักคิดว่าข้อมูลหรือข่าวสารที่ตนมี ดีกว่าหรือเหนือกว่า นักลงทุนรายอื่นๆ ในตลาดฯ หรือคิดว่าตนเองสามารถแปร หรือตีความข่าวสาร ได้ดีกว่านักลงทุนรายอื่นๆ รวมถึงการที่เชื่อมั่นมากเกินไป ในความสามารถในการคาดการณ์ หรือพยากรณ์ข้อมูลในอนาคต
      
       ปัญหาที่ตามมาสำหรับนักลงทุนประเภทนี้ จะรุนแรงมาก ในสถานการณ์ที่นักลงทุนประเภทนี้ เชื่อว่าตนเองสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้หมด รวมถึงการจัดการพอร์ตลงทุนของตัวเอง ได้อย่างไม่มีปัญหา
      
       พฤติกรรมที่มีความเชื่อมั่นมากเกินไปเช่นนี้ มักจะนำไปสู่การซื้อขายหุ้นที่มากเกินไป (Frequent Trading) เนื่องจากเชื่อว่า ตนเองสามารถคาดการณ์การขึ้นลงของหุ้นได้ จึงพยายามที่จะทำกำไรทุกรอบของการเปลี่ยนแปลง ในแต่ละช่วงของหลักทรัพย์นั้น ๆ
      
       ข้อเสียของการซื้อขายมากเกินไป คือ
       1. ต้นทุนในการซื้อขาย หรือค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขาย อาจจะมากกว่าการซื้อและถือ
       ไว้
      
       2. นำมาซึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาด เช่น อาจจะขายหุ้นบางตัวทิ้งออกไป เนื่องจากราคา
       ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่หุ้นที่ซื้อลงทุน เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี และกำลังจะปรับตัวขึ้น หรือมีการเปลี่ยนตัวที่ไม่ถูกจังหวะ เป็นต้น
      
       ความเชื่อมั่นที่มากไปมีผลกระทบต่อการคาดการณ์ของผลตอบแทนและความเสี่ยง
       นอกจากทำให้ต้นทุนในการซื้อขาย หรือ Trading Cost มากเกินจำเป็นแล้ว นักลงทุนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป มักจะทำการศึกษา หรือวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไม่ละเอียดถี่ถ้วน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง และต้องใช้การวิเคราะห์ที่สลับซับซ้อน ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้น คือนักลงทุนประเภทนี้ จะประเมินความเสี่ยงของการลงทุนต่ำเกินไป รวมทั้งคาดการณ์ผลตอบแทนที่สูงเกินจริงด้วย
      
       ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนประเภทนี้ มักจะมีลักษณะ 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
      
       1. พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงมากเกินไป (Overly Risky Portfolio)
       2. พอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงต่ำเกินไป ( Poorly Diversified Portfolio)
      
       2. ผลกระทบจากความเสียใจและความภูมิใจ (Effect from Regret and Pride)
       ความกลัวที่จะเสียใจ (Fear of Regret) หมายถึง ความรู้สึกหวาดกลัวจากการตัดสินใจลงทุนผิดพลาดในอดีต ในขณะที่การแสวงหาความภูมิใจ (Seeking of Pride) จะหมายถึง ความรู้สึกสนุก ที่ได้ทำการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาด ซึ่งรูปแบบพฤติกรรมการลงทุนทั้ง 2 นำมาสู่การลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
      
       1. ความกลัวที่จะเสียใจ: ในบางครั้ง นักลงทุนอาจทำการถือครองหุ้นที่ราคาตกลงมา
       นานมากเกินไป ด้วยความหวังที่ว่า ราคาจะกลับมาในจุดที่ตัวเองเคยซื้อไว้ ซึ่งในทางกรณีที่นักลงทุนยอมรับว่า การลงทุนนั้นๆ เป็นความผิดพลาด และทำการขายตัดขาดทุนออกไป อาจลดการขาดทุนลงได้
      
       2. ความภูมิใจที่ได้ลงทุน: นักลงทุนประเภทนี้ มักเข้าซื้อหุ้นได้ถูกเวลา แต่มักจะทำการ
       ขายออกไปเร็วเกินไป ทำให้กำไรที่เกิดขึ้นมีไม่มากนัก
      
       โดยสรุป พฤติกรรมการลงทุนที่มีพื้นฐานมาจากความกลัว มักทำให้ขาดทุนมากเกินไป ในขณะที่ความภูมิใจ จะทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (Selling Winners Too Early and Holding on to Losers Too Long)

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ในธุรกิจโรงพยาบาล เครดิต TheHee FunnyManager


การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ในธุรกิจโรงพยาบาล
by TheHee FunnyManager on Thursday, August 23, 2012 at 10:34am ·
https://www.facebook.com/notes/thehee-funnymanager/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99-fundamental-analysis-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5/10152064038055624

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจถึงอุตสาหกรรมธุรกิจโรงพยาบาลก่อน โดยส่วนตัวผมจะแบ่งโรงพยาบาลออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ

1. กลุ่มรพ.ชำนาญการพิเศษ กลุ่มรพ.นี้จะมีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคแปลกๆพิสดารๆในระดับที่ รพ. ทั่วไปทำไม่ได้ อาจะเป็นด้วยเพราะทุนที่เหนือกว่า บุคคลากรที่ดีกว่า อุปกรณ์ที่พร้อมกว่า ยาที่แพงกว่า...จึงทำให้สาามารถ charge ค่ารักษาพยาบาลได้แบบจัดเต็ม ดังนั้น รพ.นี้จะมี NPM ค่อนข้างสูงหากเทียบกับรพ.อีกกลุ่ม (ในหลักวิชาการ รู้สึกเขาจะเรียก รพ. กลุ่มนี้ว่า ตติยภูมิ หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ....คือชื่อมันพิสดาร ผมเลยขอเรียกตามที่ผมถนัดละกัน 555+)


2. กลุ่มรพ.รักษาทั่วไป(ผมจะเรียกกลุ่มนี้ว่า community hospital - รพ.ของชุมชน) คือกลุ่มนี้ถ้ากล่าวถึง ทุน อุปกรณ์ ยา จะด้อยกว่า รพ.ชำนาญการพิเศษ แต่ด้วยความที่รพ.กลุ่มนี้รักษาโรคทั่วไป เช่น อุบัติเหตุ ไข้หวัด ผ่าตัดไส้ติ่ง (อะไรที่พื้นๆ) กลุ่มนี้จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ที่พิสดารมากมายนักเมื่อเทียบกับกลุ่ม รพ. ด้านบน แต่กลุ่มนี้จะ charge ค่ารักษาแบบจัดเต็มคงไม่ได้ ราคาค่ารักษาจึงถูกกว่าหากเทียบกับกลุ่มบน แต่เน้นว่าเป็นโรคที่เข้าออกรพ.บ่อย (เช่น ไข้หวัด) ทำให้กลายเป็นว่ากลุ่มนี้จะเน้น turnover ของคนไข้ไปโดยปริยาย

โดยถ้าเอามาเทียบกับสูตรหารายได้ของรพ. จะยิ่งเห็นภาพพจน์มากขึ้น

รายได้ = จำนวนผู้ป่วย x ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อผู้ป่วย

ถ้าเป็นกลุ่มรพ. ชำนาญการพิเศษ แน่นอนครับ แพงโคตรๆ จำนวนผู้ป่วยอาจจะไม่มาก แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวสูงลิบลิ่วแบบไม่เห็นฝุ่นแน่นอน ในขณะที่ community hospital นี่ เน้นว่าผู้ป่วยจะเยอะหน่อย...แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวผู้ป่วยก็อาจจะต่ำลงมา

แต่ทั้งนี้ การดูหุ้น รพ. เราควรคำนึงถึง

1. รพ.ที่เราดูอยู่ในกลุ่มไหน อยู่กลุ่มรพ.ชำนาญการพิเศษ หรือ รพ.ชุมชน เพราะแต่ละกลุ่ม เวลาผู้ป่วย(หรือญาติผู้ป่วย) ตัดสินใจให้เข้ารับการรักษา การตัดสินใจจะแตกต่างกัน อย่าง รพ.ชำนาญการพิเศษ จะต้องมีการวางแผนหรือศึกษามาแล้วระดับนึง (เช่น ถ้าจะผ่าตัดหัวใจ คงต้องวางแผนว่า จะผ่าเดือนไหน พักกี่เดือน แล้วมีการเลือกรพ.ไว้ล่วงหน้า) แต่ตรงกันข้าม ถ้า รพ.ชุมชน สมมติเราเป็นหวัด เราเคงเลือกเข้าที่ใกล้ๆบ้าน อยู่ในแถบนั้น อาศัยว่าเดินทางสะดวกๆ บริการดีๆเข้าว่า

2. หากเป็น รพ.ชุมชน ควรศึกษาชุมชนรอบนอกและการขยายตัวด้วย หากสถานที่ รพ. ที่ตั้งอยู่มีการขยายตัว ก็เป็นไปได้ว่ามีโอกาสที่ รายได้ และ ผลกำไร ของรพ.นั้นจะเติบโตขึ้นด้วย แต่ถ้าเป็นรพ.ชำนาญการพิเศษ ควรเน้นดูที่ประชากรศาสตร์ (Demographic)

3. capacity หรือจำนวนเตียงที่รับได้ของ รพ. ซึ่งในธุรกิจ รพ. ผลกำไรมักถูกกดดันด้วยข้อจำกัดของ จำนวนเตียง ที่รับได้ของผู้ป่วย ซึ่งหากจำนวนการใช้ capacity อยุ่ในระดับ 80%-90% ถือว่าเริ่มอิ่มตัวแล้ว (คือผลกำไรอาจจะไม่ได้โตขึ้นไปกว่านี้มากมายแล้ว)

4. แผนการในอนาคต บางรพ.ซึ่งมีการใช้ capacity เกือบเต็มมักมีแผนขยาย หรืออะไรประมาณนั้น ให้กลับไปทบทวนงบฯอีกครั้งว่าแผนการขยายนั้น(ซึ่งแน่นอนครับ ต้องใช้เงินลงทุน) จะกดดันผลกำไรหรือเปล่า ถ้ากู้ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเพิ่มทุนหุ้นที่มีอยู่ก็โดน dilute EPS ไป แต่ถ้ามีเงินทุนพร้อมลงทุน ผมว่าไม่น่าห่วง

5. การเปิดรพ.ใหม่(ที่ไม่ได้อยู่บนที่ดินผืนข้างเคียง -- อาจเป็นสาขาใหม่) อาจต้องใช้เวลาคืนทุนสักระยะ (น่าจะไม่ต่ำกว่า 5 ปี) ทั้งนี้ในช่วงเวลานี้ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ (อาจจะผลประกอบการขาดทุน)

6. หากรพ.มีผลกำไรลดลง อย่าเพิ่งตกใจครับ รีบหาข้อมูลว่ามีการปรับปรุงแผนก หรือ ปรับปรุงอะไรใน รพ.หรือเปล่า ซึ่งการปรับปรุงในรพ. จะทำให้ผลประกอบการ drop ลงในช่วงสั้นๆ แต่หลังจากนั้นผลประกอบการจะกลับมาดีกว่าเดิม(โดยส่วนมากนะครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ADVANC


Brief : ประเด็นการลงทุน: จากการพูดคุยทางโทรศัพท์กับบริษัทวานนี้ เราคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/55 ยังคงมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง แต่เราคิดว่าราคาหุ้น ADVANC ที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเต็มมูลค่าแล้ว หุ้น DTAC น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการประมูลใบอนุญาต 3 จีจนกว่าจะถึงวันที่ประมูลจริงคือวันที่ 16 ต.ค. เรายังคงคำแนะนำ ถือ จากเหตุผลของอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ยังคงอยู่ในระดับดีที่ 6% เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย ณ ปลายปี 2556 แทน (จาก ณ ปลายปี 2555) และได้ราคาเป้าหมายใหม่ ณ ปลายปี 2556 ที่ 218 บาท

คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/55 เติบโตแข็งแกร่ง: เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/55 ที่ 8.7 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41% YoY และทรงตัว QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษได้แก่ ค่าตัดจำหน่ายค่าความนิยมของ DPC ในไตรมาส 3/54 จำนวน 386 ล้านบาทและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรหลักมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 32% YoY และทรงตัว QoQ ในไตรมาสนี้ถือว่าไม่มีผลกระทบจากปัจจัยด้านฤดูกาลต่อรายได้บริการแต่อย่างใด สาเหตุที่กำไรหลักเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด YoY ได้รับปัจจัยหนุนจาก 1) ภาษีเงินได้ที่ลดลง 7% 2) รายได้บริการเสียงและรายได้บริการนอนวอยซ์ที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง 3) การควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี (แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายได้แก่ ผลประโยชน์พิเศษที่ให้แก่พนักงานก็ตาม) และ 4) ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากการจ่ายชำระคืนหุ้นกู้มูลค่า 5 พันล้านบาทในเดือนก.ค. เราคาดว่ากำไรหลักไตรมาส 3/55 มีแนวโน้มทรงตัว QoQ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น

รายได้บริการไตรมาส 3/55 ยังคงขยายตัวดี: เราคาดรายได้บริการ (ไม่รวมไอซี) เพิ่มขึ้น 11% YoY และ 1% QoQ หนุนโดยรายได้บริการเสียงที่เติบโตแข็งแกร่ง (เพิ่มขึ้น 7% YoY) และรายได้นอนวอยซ์ที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด (เพิ่มขึ้น 30% YoY) ไม่มีการออกโปรโมชั่นใหม่ทั้งบริการเสียงและบริการข้อมูลใดๆ ในไตรมาส 3/55 แพ็คเก้จบริการเสียงอันใหม่ของ DTAC ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้บริการของ ADVANC ในไตรมาส 3/55 แต่อย่างใด รายได้จากการขายลดลง 9% QoQ เนื่องจากไม่มีการเปิดตัวโทรศัพท์รุ่นใหม่ในไตรมาสนี้ (ไอโฟน 5 จะเริ่มเปิดตัวขายในไตรมาส 4/55) อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายน่าจะทรงตัว QoQ ที่ 8% รายได้ไอซีสุทธิน่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 2/55

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานควบคุมได้ดี: ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดมีแนวโน้มลดลง QoQ เนื่องจากการลดงบโฆษณาทางทีวีในไตรมาส 3/55 ในขณะที่ค่าตัดจำหน่ายโครงข่ายมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากสินทรัพย์ภายใต้สัมปทานได้ทยอยตัดจำหน่ายจนใกล้หมดอายุ หนี้สูญและค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไป (ถ้าไม่รวมค่าใช้จ่ายพนักงาน) มีแนวโน้มทรงตัว QoQ ค่าใช้จ่ายด้านโครงข่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากการลงทุนในสถานีฐาน 3 จีบนคลื่น 900 เมกะเฮิร์ซเพิ่มขึ้น (3,500 สถานีฐานเทียบกับ 3,150 สถานีฐาน ณ ปลายไตรมาส 2/55) ค่าใช้จ่ายพนักงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการจ่ายผลประโยชน์พิเศษให้กับพนักงานในไตรมาส 3/55 ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและค่าตัดจำหน่ายโครงข่ายที่ลดลงน่าจะกลบผลกระทบจากค่าใช้จ่ายด้านโครงข่ายและค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น
Recommend : คำแนะนำพื้นฐาน: ถือ เป้าหมายพื้นฐาน: 218.00 บาท

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

BBL

BBL 2/10/2555 @201



BBL 1/10/2555 @195.5 
Month 1/10/2555 192.5

Week 1/10/2555

DaY 1/10/2555

Day 25/9/2555

Day 26/9/2555


บัวหลวง 4/10/2555 Brief :

ประเด็นการลงทุน: ความต้องการสินเชื่อของบรรษัทขนาดใหญ่ยังมีต่อเนื่องตามวงจรการลงทุนที่เพิ่มทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากการขยายธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงความต้องการสินเชื่อสำหรับโครงการภาครัฐ BBL มีความโดดเด่นในกลุ่มจากการที่เป็นตัวเลือกแรกของหลายบริษัทและผลประโยชน์ที่ได้รับจากแนวโน้มการลงทุนขาขึ้น เราเชื่อว่าแนวโน้มกำไรสุทธิจะกลับมาฟื้นตัวแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง

BBL เป็นธนาคารพาณิชย์ไทยเพียงรายเดียวที่มีสาขาเต็มรูปแบบ 25 แห่งในต่างประเทศ ธนาคารปล่อยสินเชื่อต่างประเทศคิดเป็น 17% ของสินเชื่อรวม การดำเนินงานเหล่านี้ส่งผลให้ BBL กลายเป็นธนาคารที่มีความโดดเด่นในกลุ่มธนาคารไทยจากผู้ประกอบการไทยมีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจไปต่างประเทศสูง อีกทั้งยังความสามารถในการปล่อยสินเชื่อต่อรายอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในกลุ่มธนาคารไทย นอกจากนี้ BBL มีอัตราการสำรองค่าเผื่อหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงที่สุดในกลุ่มที่ระดับ 181% ปัจจุบันหุ้น BBL มีระดับการซื้อขายที่ PBV ณ สิ้นปี 2555 ในระดับต่ำที่ 1.4 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 1.9 เท่า เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ

กำไรสุทธิฟื้นตัวดีต่อเนื่องในไตรมาส 3/55... เราประมาณการกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3/55 ที่ 8.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% YoY แต่ลดลง 4% QoQ การเติบโตของผลกำไร YoY เนื่องมาจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ 12% YoY (และ 1% QoQ) โดยมีการกันสำรองหนี้สูญในระดับคงตัวที่ 1.6 พันล้านบาทต่อไตรมาส แม้ว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดําเนินงานต่อรายได้รวมจะเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 42-43% (ซึ่งลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาส 2/55 ที่ 46.5%) ปัจจุบันสินเชื่อระยะยาวคิดเป็น 60% ของสินเชื่อรวมที่ปล่อยใหม่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นจากอัตราส่วนที่ 50% สำหรับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไตรมาส 3/55 จะลดลง จากไตรมาสก่อน: BBL คาดอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยในไตรมาส 3/55 จะลดลง 5-10 bps QoQ เป็นผลจากการเร่งระดมเงินฝากในไตรมาส 2-3/55 ทำให้ยอดเงินฝากเพิ่มสูงขึ้น 5% QoQ ในไตรมาส 3/55 ส่งผลให้สินเชื่อต่อเงินฝากลดลงต่ำกว่า 90% จาก 92.5% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. เป้าหมายส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับปี 2555 ของธนาคารอยู่ในช่วง 2.6-2.65% เราคาดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับไตรมาส 3/55 ที่ 2.7% ลดลงจาก 2.8% ในไตรมาส 2/55 และส่วนต่างดอกเบี้ยจะกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 4/55 จากการที่สินเชื่อจะขยายตัวแข็งแกร่ง

คาดแนวโน้มการดำเนินงานดีขึ้นใน 4/55: กำไรสุทธิจะเติบโต QoQ ในไตรมาส 4/55 จากการขยายตัวของสินเชื่อที่ดีขึ้น โดยมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและรายได้จากฐานค่าธรรมเนียมที่เพิ่มสูงขึ้น (ส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางด้านกองทุนรวมและธุรกิจประกันภัย) โดยปกติความต้องการสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่จะเติบโตสูงในไตรมาส 4/55 หนุนโดยปัจจัยทางฤดูกาล เรายังคาดว่าการเบิกจ่ายของรัฐบาลจะเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสนี้
Recommend :
คำแนะนำพื้นฐาน: ซื้อ
เป้าหมายพื้นฐาน: 265.00 บาท



SIRI

SIRI 1/10/2555 @ 2.92 

Month 1/10/2555

WEEK 1/10/2555

Day 1/10/2555