วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

เทคนิคจากพี่เปี๊ยก วันที่ 23/4/2555


Nattawat Onratn. In แมงเม่าสำราญ ·Doc

กลยุทธ์ Short against PORT ใช้ในกรณี ติดหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง ในตลาดขาลง หรือ Sideway ไม่ต้องการ ซื้อเฉลี่ย แต่สามารถนำหุ้นในพอร์ตออกมาใช้ทำเงินได้

กำหนด แนวต้านไว้ 2 แนว เช่น PTT มีแนวต้านแรกที่ 250 และ 260 อย่าขายที่แนวต้านแรก ให้ขายที่แนวต้านที่ 2 ขายแล้วพยายามรับคืน ที่แนวต้านแรก หรือ ต่ำกว่าให้ได้
  1. ถ้าไม่ได้ ให้เตรียมซื้อ SCC ไว้เป็นตัวเปลี่ยน ถือเป็นแผนสำรอง
กลยุทธ์นี้ทำไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะแน่ใจว่า เป็นแนวโน้มขึ้น ให้เลิกทำ แล้วเปลี่ยนมาเป็น กลยุทธ์ อม ถ้าเป็นขาขึ้นและ กลยุทธ์ Short Sell ในขาลง ถ้ามั่นใจว่าลงชัวร์

เรื่องซื้อ ถัวเฉลี่ย  เราใช้กลยุทธ์นี้ เมื่อ
1. ติดหุ้นเกรด A ซื้อผิดจังหวะ หรือ ซื้อแล้วลงอีก
2. ซื้อหุ้น B โดยคิดว่า ราคาต่ำเกินไปแล้ว
3. ซื้อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ราคายังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น

ถ้าเรามีวิธีการ เข้าซื้อหุ้นที่ถูกต้อง เราก็จะไม่ต้องใช้กลยุทธ์ซื้อถัวเฉลี่ย โดยที่คนเราอยากจะซื้อหุ้นให้ได้ต่ำสุด ทั้งนั้น จริงๆ แล้วเป็นเรื่องยากมาก แต่ถ้าอยากทำ ให้ทดสอบจุดซื้อที่เรามั่นใจว่า ราคานี้น่าจะต่ำสุด โดยการซื้อ เพียง 10-20% เท่านั้น ถ้าถูกทางก็ซื้อต่ออีก 80% ถ้าผิดก็ขายทิ้งซะ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ โอกาสใช้ การซื้อถัวเฉลี่ย ก็ไม่มี

ซื้อถัวเฉลี่ย กับหุ้นชุด A ให้ใช้ การซื้อแบบ สามเหลี่ยม คือ 10% ที่แนวรับ 40% ที่จุด Panic sale 50% เมื่อราคายืนได้แล้ว ซื้อถัวเฉลี่ย 

กับหุ้นชุด B ต้องซื้อ เท่าตัว ที่จุดที่ราคาเริ่มฟื้นตัว หลุดทำ LOW มา 2 สัปดาห์แล้ว

การซื้อถัวเฉลี่ย ไม่จำเป็นต้องใช้ในยามขาลง ใช้ในยามขาขึ้นก็ได้ จะทำให้การ Let Profit Run มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รูปแบบราคา ของหุ้นชุด A กับ B มีทั้งหมด 5 แบบ คือ (ข้อมูลหุ้นเมื่อ 19-Oct-11)

1. ขาขึ้น เช่น ADVANC BGH DTAC กลุ่มนี้ขายได้เลย

2. กลับมายืนเหนือ เส้น ค่าเฉลี่ย 200 วัน เช่น SCB CPF SPALI กลุ่มนี้ ใครมีกำไรก็ขาย ยังไม่มีกำไร ก็ถือลุ้น หรือ จะขายออกครึ่งหนึ่งก็ได้ ถ้าอึดอัด

3. จบขาลง เช่น SCC KBANK BANPU ชุดนี้ ถือลุ้นดีกว่า ถ้าจะขาย ดูที่แนวต้านที่สอง

4. หุ้นที่ราคายังต่ำอยู่ ยังไม่ขึ้น ใครติดอยู่ รอนิดหนึ่ง คนที่อยากซื้อถัวเฉลี่ย ก็สามารถทำได้ คือ PS BCP TPC JAS KK VNT SAT TVO LHBANK SGP MAJOR STANLY THCOM CENTEL SAMART SAMTEL LOXLEY RAIMON THAI TMB AOT AP TTCL ITD

5. หุ้นที่ราคายังต่ำอยู่ แต่ขึ้นมาแล้ว ถ้ากองทุนไม่ซื้อ ก็ดูขายออกไป เช่น STA KSL HEMRAJ AMATA STEC BAY AJ TASCO TUF PTL KBS CPN



เรื่อง กลยุทธ์ในการขาย [11Oct-21]

1. ขายตรงที่เราอยากขาย ตามแผนการลงทุนตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนซื้อแล้วว่าจะขายตรงนี้ ขายแล้วราคาขึ้นไปก็ไม่เคยเสียใจ
2. ขายเมื่อราคาไม่ทำจุดสูงสุด 2-3 วัน คือ ไม่ไหวก็ขาย
3. ขายทันที จะขาดทุนหรือกำไร ไม่สนใจ เมื่อราคาไม่ขึ้นตามคาดสำหรับนักเก็งกำไร หรือ พื้นฐานไม่เป็นไปตามที่วิเคราะห์ 
สำหรับนักลงทุนระยะกลาง ถึง ยาวคนที่ขายไม่เป็น มักจะโลภ อยากขายที่สูงสุด พอราคาจะขายได้ ก็เปลี่ยนราคา ถึงจุดขาย ตัวเองก็รู้ว่าต้องขาย แต่พยายามหาแต่ข่าวดี ข่าวร้ายไม่ฟัง จะขายก็เมื่อราคาใกล้ทุนแล้ว

คนที่ขายไม่เป็น อีกประเภทจะชอบใช้เหตุผล ว่า ขาย Cut loss เพื่อรักษาเงินสด ทั้งที่ความผิด อยู่ที่การตัดสินใจซื้อ ขายขาดทุนมันอยู่นั่น ทุนก็หายไปเรื่อยๆ

การขาย เป็นเรื่องง่ายๆ อย่าคิดมาก แค่กำไรก็ขาย 
หุ้นที่นักวิเคราะห์ หรือ บทวิเคราะห์ แนะนำให้ซื้อ ขณะที่ ราคาหุ้น ไม่ทำจุดสูงสุดเลย นั่นเป็น สัญญาณเตือน ว่า ขายไปเถาะ อย่าไปฟังคนอื่นเลย เชื่อตัวเองเถอะ
ไม่มีใคร ขายหุ้น ได้สูงสุด หรอก อย่าไปหาวิธีเลย กำไรก็น่าจะพอใจแล้ว 
คนเรา เล่นหุ้น ก็หวังกำไร ตอนแรกก็เอาแค่ มากกว่าเงินฝาก หลังพอเกิดความโลภ ความเสี่ยง ก็ตามมา กลับไปยืนจุดเดิมดีไหม กลยุทธ์ ในการขาย เป็นอะไร ที่ง่ายที่สุด เพราะจุดจบอยู่ ความพอเพียง ตลาดหุ้น มันจะบอกเอง ว่าจะไปที่ไหน ไม่มีใครบอกได้ ผมก็ไม่สามารถบอกได้หรอกคับ แต่ผมจะบอกทุกอย่างที่ผมคิดให้ฟัง รับรองว่า ไม่มีอคติ

ตัวอย่าง วิธีการซื้อ อธิบายไปแล้ว เมื่อ 2 วันก่อน การที่ได้ฟังว่า BBL จะไปได้ที่ 160 โดยที่ขณะนั้น ราคาอยู่ที่ 147 ก็ไล่ซื้อ อันนี้ผิด เพราะ ไม่ได้ตรวจสอบว่า BBL ราคามาจาก130 เมื่อ 4 วันก่อนหน้า ไม่ได้ฟังว่าBBL ต้องผ่าน 150 ก่อน จึงจะไปที่ 160 หูได้ยินแค่ 160 อันนี้ต้องถือว่า โลภ การเข้าซื้อ ก็เข้าเต็มไม้ อันนี้ก็ผิด ลงมาแรง ก็กลัว จะลงไปลึก ตัดใจขาย ตรงใกล้ LOW แล้วจะได้กำไรได้ไง เอาซื้อง่าย ๆ คือ ซื้อ 147 ครึ่ง พอร์ต ลงมาที่ 137 ซื้อ อีกครึ่งหนึ่ง ซื้อแล้วถือ รอว่า เมื่อไหร่ 160 ค่อยขาย จะสบายกว่าไหม

หลักในการขายแล้วเปลี่ยนตัว ของหุ้นขนาดกลาง ไม่จำเป็นต้องทำในเวลาเดียวกัน ต้องขายตัวเก่าให้ได้ราคาที่ดีที่สุดก่อน ได้เงินแล้วค่อยไปซื้อหุ้นตัวที่จะเปลี่ยนให้ได้ราคาต่ำสุด



กลยุทธ์เวลาฝรั่งเข้าซื้อ ปรกติ เวลาฝรั่งเข้าซื้อ ผมจะแบ่งหุ้นใหญ่ 10 ตัวออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อง่ายในการติดตาม กลยุทธ์ คือ

ตัวนำ ประกอบไปด้วย PTTGC SCC KBANK
ตัวตาม BANPU PTT PTTEP BBL SCB
ตัวขาย ADVANC TOP KTB

ใครเล่นเก็งกำไร ให้เล่นตัวนำ

ใครช้า อายุมาก ตามซื้อขายไม่ทัน ให้ดูที่ตัว ตัวตาม อย่าเล่นตัวขาย

คนที่มีตัวขายอย่าตกใจ เพราะในแต่ละช่วงเวลาอาจจะมีการสลับตัว เปลี่ยนกลุ่มได้

พรุ่งนี้ SET จะขึ้นทดสอบ 950 ผ่านหรือไม่ อย่าไปคาดเดา ไม่มีประโยชน์

คนที่กำไร ขายออกมา คนที่เท่าทุน ขาดทุน ยังมีลุ้น

คนที่ซื้อเฉลี่ยหุ้นใหญ่ไว้ ให้แยกราคา อันไหนกำไรดูขายบ้าง


กลยุทธ์รอบนี้ ควรต้องมี เงินสด ในมือไว้บ้าง

โอกาส ทะลุ 950 แล้วยืนได้ ขึ้นอยู่กับ ฝรั่ง net buy อีกสัก 3000 ภายใน 2 วันนี้ คอนเฟริ์ม ยืนยัน นักวิเคราะห์ค่ายใหญ่ จะเปลี่ยนใจ กลับมา แนะนำซื้อ เมื่อนั้น กองทุน จะซื้อตาม

กลยุทธ์การเล่น NET จบในวัน [11Oct-26]

ขั้นตอนแรก คือ การเลือกหุ้น

1 หาตัวนำตลาด ให้เจอ สำหรับการเล่นหุ้นใหญ่ 10 ตัว

2 หุ้น B กับ C ให้เลือก เฉพาะ ที่เป็นขาขึ้นชัดเจนเท่านั้น

3 หุ้น D ให้เล่น เฉพาะ ที่รู้จักข้อมูลวงในเท่านั้น



ตัวอย่าง การเลือกหุ้นวันนี้ (ข้อมูลหุ้นเมื่อ 26-Oct-11)
 หุ้นใหญ่คือ PTTGC
 หุ้น B C คือ TASCO
 หุ้น D วันนี้ไม่มี 
รายชื่อ หุ้นใหญ่ ที่เราสามารถจะเล่นเก็งกำไรได้ ในวันพรุ่งนี้ เราดูกราฟก่อนตลาดเปิด พรุ่งนี้ได้ คืนนี้ผมเจอ SCC PTTGC IVL BANPU PTTEP พรุ่งนี้ช่วง pre open ตลาดสนใจตัวไหน ผมจะเลือกตัวนั้น 
ส่วนหุ้น B C ผมจะดูใน MOST ACTIVE 40 อันดับ ใน ชั่วโมงแรก ของการซื้อขาย หุ้น D มาจากข่าว ลือ ในห้องค้า แล้ว ผมจะใช้การวิเคราะกราฟ คัดเลือก อีกครั้ง

หลักสำคัญในการเล่น NET คือ

1. ซื้อหุ้น ในจังหวะถอย จะได้เปรียบกว่า ซื้อไล่ราคา

2. ถ้าซื้อง่าย ขายยาก แปลว่า ไม่ใช่

3. อย่าฝืน อย่าตั้งความหวัง อย่าหงุดหงิด อย่าโลภ ไม่ไหวขายซ้าย ถ้าไหวปล่อย RUN

4. เล่น 10 ครั้ง อาจถูก 4 ผิด 6 ก็ได้ ผิดต้อง Stop Loss ทันที ถูกปล่อยกำไร ไปให้ไกลที่สุด

5. ถ้า ใน 1 ชม. มี High ใหม่ ให้ RUN กำไร ต่อไป ถ้า 1 ชม. ไม่มี new High ให้ขายทันที ไม่ว่า กำไร หรือ ขาดทุน

ตามตลาดรวมไว้ด้วย ถ้า SET เซ ต้อง ถอย order ซื้อออกมาก่อน ถ้า SET ดีดตัวขึ้น ให้ เคาะขวา ทันที

****อย่าเล่นด้วยเงิน ที่หมดหน้าตัก จะทำให้ การตัดสินใจ ช้ากว่าปรกติ****

กลยุทธ์การ Follow Buy
กลยุทธ์ Follow buy ควรจะทำในช่วง ราคาหุ้นจบขาลงแล้ว อีกช่วงหนึ่งที่ทำได้ คือ ราคาหุ้นขึ้นมาแล้วระยะหนึ่ง แล้วเกิดการปรับฐานราคา พอทะลุแนวต้านสำคัญ
ก็ ใช้ กลยุทธ์ Follow buy ได้

ช่วงที่ไม่ควรทำ คือ ราคาขึ้นมาไกลแล้ว หรือ มีแนวโน้มว่าจะจบขาขึ้น ส่วนใหญ่จะชอบใช้ กลยุทธ์นี้ เพราะ มั่นใจว่าราคาหุ้นไม่ลง ผ่านแนวต้านก็ใส่เต็มๆ ตรงนี้จำไว้ให้ดี ให้เล่นแค่ ครึ่งไม้ และเล่นแบบเก็งกำไร มีจุด Stop LOSS ให้ชัดเจน


ราคาหุ้น 2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา (ข้อมูลหุ้นเมื่อ 31-Oct-11) ไม่มีจุดต่ำสุดหรือไม่มี new Low แล้ว ก็เป็นไปได้ว่า ราคาหุ้นตัวนั้น กำลังจะจบขาลง หรือ ไม่ก็ลากเส้นแนวโน้มลง ระยะ 6 เดือน เป็นตัวประกอบการตัดสินใจก็ได้


การ Follow buy ให้แบ่ง เป็น 2 ไม้ ทะลุวันไหน ไม้แรกทำงาน อีก 3 วัน ไม่ลงมา ต่ำกว่าราคาที่ซื้อ ให้ซื้อต่ออีกไม้ ถ้า 3 วันนับจากวันที่ซื้อไม้แรก แล้วราคาต่ำกว่า ให้รอจังหวะซื้อ อีกที ที่ใกล้ๆ จุดต่ำสุด ที่ใกล้ที่สุด แล้ว พอราคา Rebound .ให้มีกำไรนิดหน่อย หรือ เท่าทุน ค่อยขาย ความยากของกลยุทธ์นี้ คือ ความไว ถ้าความรู้สึกช้า หรือ ไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน หรือ ไม่ได้เฝ้าราคา จะทำไม่ทัน เราไม่ซื้อ คนอื่นก็ซื้อ

ทบทวน ทั้งหมดที่เราเคยคุยกัน ทั้งในนี้ และ Money Chanel [11Nov-15]

เริ่มต้น ที่ผมจะชอบแบ่งกลุ่มหุ้นเป็น A B C D เพราะจะง่ายกับการวางกลยุทธ์ในการเล่นหุ้น หรือ การวางแผนลงทุน
การเล่นหุ้น A 
กลุ่ม A คือหุ้นที่ดีที่สุดในประเทศไทย
 BBL
 SCB 
KBANK 
PTT 
PTTEP 
PTTGC
 TOP 
BANPU 
SCC 
ADVANC

พวกนี้ ผมจะเล่นตาม Fund flow ถ้าฝรั่งซื้อผมก็ซื้อ ถึงแม้มะม่วงจะขาย ผมก็ไม่กลัว ถ้าฝรั่งขาย ผมก็ขาย มะละกอ สับปะรด จะซื้อผมก็ไม่สนใจ

อีกวิธีหนึ่ง คือ การเล่นแบบสวนกระแส ผมจะซื้อหุ้นที่ดีที่สุด ในเวลาที่เลวที่สุด
การเล่นแบบนี้ ไม่ต้องสนใจ กนง.ขึ้นหรือไม่ขึ้น ดอกเบี้ย ไม่สนใจยุโรป ไม่สนใจ SET ว่าจะอยู่ที่เท่าไหร่ จะลงต่อไหม จะผ่าน 1000 ได้หรือเปล่า สนใจเรื่อง Fund Flow อัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ยพันธบัตร ก็พอ

คำถาม คือ จะรู้ได้อย่างไร ว่านี่คือ จุดต่ำสุดแล้ว ต่างหากเวลาผมดูหุ้น ผมจะไม่ค่อยกำหนดแนวรับ แนวต้านเท่าไหร่ เพราะจะทำให้เกิดอคติ ทั้งความหวัง ความฝัน และความกังวล ถ้าเราไม่ได้คาดการณ์จุดต่ำสุด ไม่รู้ว่าแนวรับต่อไปคืออะไร แนวต้านอยู่ที่ไหน เราอาจจะเห็นจุดต่ำสุดก่อนคนอื่นก็ได้ 
ถ้าเราตั้งหลักว่า ไม่มีใครรู้จุดต่ำสุดได้ แม้แต่ จอห์น ทราโวต้า ก็ไม่จำเป็นต้องหา เพราะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แต่เราสามารถ เห็นจุดต่ำสุดก่อนคนอื่นก็น่าจะเป็นไปได้มากว่า และผมก็คิดว่า พอสำหรับการเล่นหุ้นแบบ ซื้อหุ้นดีที่สุด ในเวลาที่เลวที่สุดได้ 
จุดต่ำสุดมีลักษณะ คือ เป็นจุดที่คนในตลาดกลัวที่สุด อยากจะขายหุ้นอย่างเดียว ตลาดมีข่าวร้าย อย่างต่อเนื่อง จุดต่ำสุด ต้องมีคนเริ่มสะสมหุ้น จนทำให้ ราคาหุ้น เริ่มยืนได้ ถึงมีแรงขายก็ลงไม่มาก แถมจุดต่ำสุดเริ่มยกตัวขึ้น การซื้อตรงนี้ ถือว่าขัดกับความรู้สึกอย่างมาก จำเป็นต้องใช้การแบ่งไม้ซื้อช่วย คือ อย่าซื้อหมด ภายในครั้งเดียว ไม่เผื่อการพลาดไว้เลย
ส่วนการซื้อแบบตาม Fund flow เราต้อง เข้าใจเรื่อง การไหลของเงินทุนระยะสั้น เขาจะมาหาเรา ก็ต่อเมื่อ ค่าเงินเรามีแนวแข็งค่า ดอกเบี้ยในตราสารหนี้ของเราดีกว่าภูมิภาคอื่น ถ้าเป็นไปได้หุ้นเรา ถูกกว่า ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียด้วยกัน เงินพวกนี้ไม่สนใจว่าเราน้ำท่วมหรือไม่ มีความวุ่นวายทางการเมืองหรือไม่ เพราะเขาลงแค่ 1-2 เดือน เท่านั้น ถ้ามีที่ดีกว่า เขาก็ไป ดังนั้น ไม่มีเขา เราต้องอยู่ให้ได้


หุ้น A มีกลยุทธ์ ในการเล่นแค่นี้ ไม่ต้องซื้อขายบ่อย มีเวลาอยู่กับครอบครัว เป็นการเล่นที่ให้ผลตอบแทนปีละ 10-20 % สบาย ๆ

การเล่นหุ้น B กับ C [11 Nov-17]B คือ 

กลุ่มBหุ้นที่ดีที่สุด ในธุรกิจนั้นๆ เช่น 

อาหาร ก็ 
CPF อาหารแช่แข็งก็ 
TUF

กลุ่ม C คือ หุ้นอันดับรองลงมา ในกลุ่มนั้น เช่น อาหาร ก็
 GFPT อาหารแช่เข็งก็
 CFRESH

กลุ่ม B ของกลุ่มรับเหมา ก็ 
STEC 

กลุ่ม C ก็คือ ITD PLE

B ของ สื่อสาร DTAC 
กลุ่ม C สื่อสาร ก็ TRUE

B ของน้ำมันพืช TVO ก็คือ 

LH ก็เป็น B ของบ้านแนวราบ เบอร์ 1 มีได้ คนเดียว
PS เป็น C

SPALI ก็เป็น B ของ CONDO

B ของ ปิโตร ก็ IVL

KTB เป็น B 
TMB ก็เป็น C

ต้องรู้ว่า TTA เป็น B แต่ธุรกิจเดินเรือ อยู่ในช่วงตกต่ำ ราคาหุ้นอยู่ด้านล่าง พอธุกิจเริ่มฟื้น ราคาหุ้นก็จะฟื้นตาม
ตอนที่ธุรกิจกำลังฟื้น PSL มีผู้บริหารเก่งกว่า รอบธุรกิจครั้งต่อไป อาจจะแซง TTA ขึ้นเป็น B แทน ถีบ TTA ลงไปเป็น C แทน ก็ได้

กลุ่มB และ C คนเล่นกลุ่มนี้ เป็น กองทุน กับ รายย่อย ปีนี้กองทุนขายเป็นส่วนใหญ่ หุ้นพวกนี้ เลยลงเยอะ ธรรมชาติ ของหุ้นพวกนี้ คือ มีวงจรขึ้นลงของธุรกิจ และ ราคาหุ้น ในแต่ละไตรมาส แต่ละธุรกิจ จะมีการการเปลี่ยนแปลง B จะเป็น B ต่อไปได้ ต้องรักษา อัตราการเติบโต ของกำไร ไว้ให้ได้ ต้องรักษาภาพพจน์เบอร์หนึ่งของธุรกิจ ไว้ให้ได้



C ต่างกับ B ตรงที่ C กำไรไม่สม่ำเสมอ ผู้บริหารไม่ดี ความสามารถในการแข่งขันสู้ B ไม่ได้ แต่ C ก็สามารถเลื่อนชั้น มาสู้กับ B ได้ ถ้าผู้บริหารเก่ง โอกาสเปิด

ดังนั้น การเล่น หุ้น B ต้องเข้าใจ ธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ต้องรู้จัก BUSSINESS CLYCLE

เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าธุรกิจ กำลังจะเริ่มดี เราไม่มีทางรู้หรอก คนที่รู้ คือ คนที่อยู่ในธุรกิจนั้น เท่านั้น พอคนวงในรู้ ก็ทยอยซื้อ ราคาก็ขึ้นอย่างช้าๆ คนวงในก็บอกญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงมาซื้อ ราคาก็ไม่ลง ธุรกิจที่ดีวันดีคืน สร้างผลกำไรที่ดี มาทุกไตรมาส กองทุน นักวิเคราะห์ที่เก่งๆ ก็เริ่มมองเห็น แนะนำ ให้ลูกค้าตัวเองเก็บยาว ตอนนี้แหละ ราคาจะขึ้นด้วยความรุนแรง พอราคาหุ้นขึ้นแรง แมงเม่าก็ทำงาน เป็นชาวไล่ ตอนนี้ก็เป็นจังหวะ ของรายใหญ่ นักวิเคราะห์ฝีมือระดับรองๆ เจ้าของหุ้น สื่อสารมวลชน ช่วยกันกระพือข่าวดี เพื่อทยอยขาย การอ่านข่าวบวก ที่ขยันออกมา ทำให้รายย่อย ฝันกลางวัน คิดว่า หุ้นตัวนี้ดีมาก ยังไงราคาไม่มีทางลงไป กำไรก็ดี โครงการในอนาคตก็ดี ปันผลก็ดี ข่าวขยายงาน ข่าวร่วมทุน แตกพาร์ แจกวอร์แรน ข่าวพวกนี้ทำให้ พอราคาลงหน่อย แมงเม่าก็ซื้อ หวังจะถือยาว แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติ หุ้นมีขึ้นก็ต้องมีลง มีลงก็ต้องมีขึ้นพอราคาลงมาถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่แมงเม่า ขายไม่ลง ข่าวร้ายก็ทยอยออกมา ทำให้หวั่นไหว ว่า จะถือต่อ หรือ ขายดี
รายย่อย ที่ขาย แล้วราคาลงมา ก็ไม่กล้ารับคืน คนที่ไม่ได้ขาย พอราคาขึ้นมาจากจุดต่ำสุดนิดหน่อยก็ขายทิ้ง ไม่เข้าใจ ที่มาที่ไป

หุ้น B [11Nov-18]

โรงพยาบาล 
ใหญ่ที่สุด คือ BGH นั่นละ  
BH เป็น C

วิธีเล่น หุ้น B คือ ดูให้ออกว่า มันอยู่ตรงไหน ของวงจรธุรกิจ และ อยู่ตรงไหน ของวงจรราคา B ต้องเริ่มที่ ช่วงธุรกิจซบเชา ค่อยๆดีขึ้น แล้วต่อด้วยคำแนะนำซื้อจากกองทุน และนักวิเคราะห์ฝีมือดี ต่อมาก็จะมีแรงซื้อหนักๆ เข้ามา ตัวเลขกำไรจะออกมาดีมาก DTAC อยู่ด้านบน เติบโตอยู่ ราคาขึ้นเรื่อยๆ นักวิเคราะห์ทุกคนแนะนำซื้อ ถ้า DTAC ยังรักษาความคาดหวังของตลาดอยู่ได้ ราคาก็ยังไปได้ ต้องมีกำไรที่เติบโตทุกไตรมาส กลยุทธ์ในการเล่น ต้องเล่นรอบสั้น หรือเก็งกำไร ถือยาวไม่ได้ ต้องตามผลงานไปทุกไตรมาสกำลังจะมารอบใหม่หรือไม่ ต้องตามต่อ  KTB เคยรุ่ง และจบรอบ ไปแล้ว 1 รอบ เพราะข่าวร้ายมาเยอะแล้ว รอคนเข้ามาเก็บอย่างมีนัยสำคัญ ผมแอบเห็น ตรง 14 ครั้งหนึ่ง กลยุทธ์การเล่นให้ใช้แบบการเก็บ หุ้น ระยะยาว เริ่มที่ 14-14.5 เก็บ 20 % ก่อน แล้วเล่นเก็งกำไรไปมา จนแน่ใจว่าไม่มี Low ก็เก็บเพิ่มอีก 40% พอตอนจะวิ่ง ก็ Follow buy อีก 40%



กลุ่ม B IVL 
กลุ่ม C VNT TPC AJ PTL ถือเป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะผมงง ว่าพวกมันทำอะไรกัน ให้ IVL เป็น B IVL เล่นคล้าย KTB ใช้กลยุุทธ์เดียวกัน เก็บตรง 30 บาท 20% แต่ก่อน TPC เป็น B IVL AJ PTL เป็น C แต่ IVL ทำสำเร็จ จาก C เป็น B ได้ ราคาจึงวิ่งรุนแรง จำไว้นะคับ ถ้า C เป็น B สำเร็จ กำไร 400% ไม่ยากเกินไป แล้วจำไว้นะคับว่า ในทางกลับกัน B ไป C ก็นรกเลยคับ หรือ C ที่ทำให้ทุกคนคาดหวังว่า จะเป็น B ได้ แต่สุดท้ายก็มาไม่ถึง ก็โหดร้ายมาก เช่น AJ PTL SMT 

ก่อนจะเล่นหุ้น แต่ละตัว ผมแนะว่า ให้ดูก่อนว่า เป็นกลุ่มอะไร เพราะกลยุทธ์ในการเล่นไม่เหมือนกัน ข้อมูลที่ตามก็ไม่เหมือนกัน B ต้องรู้ธุรกิจเป็นอย่างดี อยากได้ 400 % ต้องเล่นจากด้านล่าง ตอนธุรกิจแย่สุดๆ ต้องรู้จริง มั่นใจข้อมูล ตามความเป็นไปของธุรกิจแบบหายใจรดต้นคอ หมั่นคุยกับคนที่อยู่ในธุรกิจนั้นๆ ไปเยี่ยมโรงงาน คุยกับผู้บริหาร เล่นหุ้น 1-2 ตัวก็พอ เรียกว่า VI 
ถ้าเล่นหุ้น B ธุรกิจฟื้นตัวแล้ว ให้เล่นเป็นรอบๆ เข้าทีละ 50% หรือ จะเล่นเก็งกำไร ตามไป แบบที่เรียกว่า MOMENTUM Trading ก็ได้

TVO เป็น B อยู่ช่วงที่ตกต่ำที่สุดแล้ว รอธุรกิจฟื้นตัว ใครสนใจ ต้องตามข้อมูลอย่างละเอียด ต้องถือได้เป็นปี



กลุ่ม ฺB มีการเล่น 3 วิธี
  1. แบบ VI ถ้าจับมันได้ตั้งแต่ต้นทาง แต่รายย่อยต้องถือนานเป็นปี ตรงนี้แหละคับ ที่ได้กำไรน้อยมาก ความอดทนในการถือหุ้นต่ำ ทำให้เสียโอกาส เพราะจับได้ตั้งแต่ราคาถูกๆ แต่ไม่กล้าถือ
  2. แบบที่ 2 เล่นเป็นรอบ ระยะ ไตรมาส เล่นตามผลประกอบการ
  3. แบบที่สาม คือ เล่นเก็งกำไร ตามทางไปเรื่อยๆ เล่นตัวเดียว ลงก็ซื้อ ขึ้นก็ขาย
***ปัญหา ของหุ้น B ไม่ใช่การเลือกกลยุทธ์ในการเล่น แต่คือ ไม่รู้ว่าหุ้นตัวนี้จบรอบไปแล้ว***

เรื่อง การแก้พอร์ตหุ้นที่ติดอยู่ [11Nov-22] การติดหุ้น คือ การซื้อหุ้นที่ราคาสูง

ทำไมไปซื้อที่ราคาสูง เพราะตอนซื้อก็ดูแล้ว ว่าไม่สูงมีใครเล่นหุ้น แล้วไม่เคยติดหุ้นบ้าง ไม่น่ามี ติดแล้ว ก็ต้องรู้วิธีแก้ไข

  1. วิธีแรก คือ CUT ทิ้ง วิธีนี้ทำได้เฉพาะ คนที่มีจิตเข็มแข็ง ไม่ยอมเป็นทาสใคร เด็ดเดี๋ยว ห้าวหาญ เท่านั้น
  2. วิธีที่ 2 ซื้อเฉลี่ย เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีเงินหนา เงินมีเติมตลอด
  3. วิธีที่ 3 คือ เปลี่ยนตัว เปลี่ยนชื่อหุ้นในพอร์ต เหมาะสำหรับคนขี้เบือ
  4. วิธีที่ 4 กอดไว้ อย่างทะนุทะนอม รอคอยเธอมาแสนนาน ทรมานวิญญานหนักหนา
  5. วิธีสุดท้าย คือ Short against Port อันนี้ ต้องใช้ฝีมือ ดวง และการตัดสินใจภายใต้แรงกดดันสูง

หุ้นใหญ่ 10 ตัว ผมแก้ด้วยการ ซื้อเฉลี่ย PTT 348 PTTEP 180 PTTGC 74 (ข้อมูลหุ้นเมื่อ 22-Nov-11) ถ้าไม่มีเงิน ซื้อเฉลี่ย ผมใช้วิธีกอด การซื้อเฉลี่ย ต้องซื้อตรงจุดที่ต่ำที่สุด หรือ ซื้อแล้ว ราคาเฉลี่ย สามารถออกตัวได้ เช่น ซื้อ PTT ตรง 298 เอาราคาวันนี้้เลยนะ ค่าเฉลี่ย จะอยู่ที่ 328 คิดว่า ไหวไม้ ถ้าไหวก็ซื้อ จริงจุดซื้อเฉลี่ย ที่ดีที่สุด มันจะอยู่ตรง จุดที่มีข่าวร้ายในตลาดมากที่สุด เฉลี่ยแล้ว มันจะส่งผลทำให้ ค่าเฉลี่ยออกมาดีมาก การขายเพื่อให้หลุดจะง่ายมาก แต่ความยาก มันอยู่ตรง ตอนซื้อ มันกลัว เพราะเป็นเงินก้อนสุดท้ายจริงๆ แล้ว ถ้ามีเงินถัวเฉลี่ย 2 เท่า ก็จะดีมาก เข้าเฉลี่ย 2 ครั้ง ถ้าติดหลายตัว ต้องเลือกตัวที่เราคิดว่า มีโอกาส หลุดได้เร็วที่สุด มาเฉลี่ยก่อน
เทคนิค การซื้อเฉลี่ย ไม้ที่ซื้อเฉลี่ย สามารถ เอามาเล่นเก็งกำไร ขึ้นขายลงซื้อได้ด้วย เพื่อลดต้นทุนลง ค่าเฉลี่ยก็จะดีขึ้น

BBL SCB KBANK KTB ราคาที่ให้ไปเมื่อวาน ใช้เป็นราคาซื้อเฉลี่ยได้ (136 103 109 14)

TOP PTTGC PTTEP SCC ราคาเลยมาไกล แล้ว ตรงนี้ซื้อเฉลี่ยไม่ได้แล้ว รอลุ้น SET ข้าม 1000 บางตัวจะหลุดได้

ผมมีปัญหา ต่ออีก พอราคาเลยทุน คนที่ตั้งใจจะขาย กลับไม่ขาย อยากจะกำไรอีกแล้ว อันนี้น่าปวดหัว กว่าแก้พอร์ตอีก 20% 40% 40% เป็นไม้ที่พี่เอาไว้ใช้ซื้อเฉลี่ยด้วย
IVL THAI TCAP TICON ราคาวันนี้ ใช้เป็นราคาซื้อถัวเฉลี่ยได้ แต่หุ้นกลางๆ แบบนี้ แนะนำ ใช้กลยุทธ์เก็งกำไร ขึ้นขายลงซื้อ ผสมไปด้วย

วิธีการเล่นเก็งกำไร ให้เอาจำนวนหุ้น ที่ตัวเองซื้อถัวเฉลี่ยมา วางขายที่แนวต้าน ชั้นที่สอง เช่น THAI มีแนวต้าน 19.3 กับ 20.6 ให้วางขาย ไว้ที่แนวต้านที่ 2 อย่าวางขายแนวที่ 1 ขายได้แล้ว หาทางรับคืน ที่แนวรับแรกเลย ไม่ต้องรอ เพราะเราอยากได้หุ้นคืน

หุ้นเล็กๆ ที่พอมีอนาคต แนะนำ Short Against Port

หุ้นเล็ก ที่ไม่มีอนาคต แนะนำ ขาย แล้วเปลี่ยนตัว

หุ้นเล็กที่มีอนาคต คือ TMB JAS RAIMON BWG

LHBANK RS KBS ITD BTS พวกนี้ มีอนาคต

SVI GFPT ก็มีอนาคตคับ




การแก้ หุ้น B C เรียกว่าหุ้นกลางก็ได้ [11Nov-23] 
BTS ถือไว้เถอะ คับ ปีหน้า จะ Hot มาก ผมเคยเขียนให้แล้ว ว่า กลยุทธ์ ที่ใช้กับ BTS คือ ซื้อเฉลี่ยแบบขาขึ้น คับ B ย่อมาจาก BANGKOK T คือ THAILAND สู้ๆ และ S คือ สยามเมืองยิ้ม คับผมย้อนดู เมื่อวาน หุ้นกลาง ๆ สอนวิธี ไปแล้วนะ เอาหุ้นเล็ก แล้วกัน

ต้องแยกหุ้นเล็ก ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เล็ก แบบพอมีอนาคต กับ ไม่มีอนาคต

เล็กแบบมีอนาคต ใช้วิธีเล่นเก็งกำไรตามแนวโน้ม มันไปเรื่อยๆ ไม่ต้อง Cutทิ้ง ไม่ต้องซื้อเพิ่ม มีแค่ไหนเล่นไปแค่นั้น เก็บกำไรกินไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดว่าติดหุ้น ตามติดดมกลิ่น จะรู้นิสัย จะรู้ทางนี้ทีไล่ และ พอถึงรอบ ขาขึ้นอย่าขาย พอจบรอบค่อยขาย ขาลงขายแล้วรอรับคืนให้ได้ราคาที่สุด ถ้าราคาแกว่งตัวช่วงแคบ เล่นในกรอบ อันนี้เป็นทฤษฏี เอาตัวอย่างมาสักตัวดีกว่า    

เพิ่ม IRPC ให้ก็ได้ ตัวนี้ เป็นบริษัทที่มีกำไร ไม่ได้ขาดทุน โอกาสทางธุรกิจยังเปิดกว้างอยู่ ตอนเราซื้อ เราก็หวังว่าจะไปต่อ แต่ลืมคิดว่าถ้ามันไม่ไปต่อ เราจะทำอย่างไร หุ้นพวกนี้ คือ หุ้นชุด C ทั้งนั้น ไม่ขี้เหร่ น่ารักพอประมาณ แต่ไม่สวย perfect เท่า หุ้นชุด B การติดหุ้นชุดนี้ มาจาก การใช้ความหวัง มากกว่าข้อเท็จจริง กับ เพลินกับกำไรที่เขาให้มา จนไม้สุดท้ายเข้าเต็ม และชะล่าใจ ไม่คิดว่า มันจะทำกับเราได้ รู้ตัวอีกทีก็ขยับตัวไม่ไหวแล้วใครก็ตามที่เล่นหุ้น เคยเดินเล่นอยู่บนดอย ทุกคน ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะสอนวันนี้ คือ รู้ว่าติดดอยแล้ว จะค่อยๆ เดินลงมาอย่างไร จะรอให้ ติ๊ก เจษ หรือ ผู้พันเบิร์ธ ไปรับ แกก็ไปไม่ไหวให้เริ่ม ตรวจสอบดูเลยคับว่า ในระยะ 1-3 เดือน ที่ผ่านมา หุ้นเล็กที่มีอนาคต มีแนวโน้มอย่างไร JAS ลง แล้ว มา แกว่งข้างๆ ปัจจุบัน เริ่มจะเป็นขาขึ้น เห็นไหมคับ ดังนั้น เราจะตาม JAS ไป พอจบขาขึ้น เราจะขาย ยังไม่จบขาขึ้นระยะ 1-3 เดือน เราจะไม่วาง ขาย วิธีตามก็ ตามว่า ผ่านแนวต้าน แต่ละแนวได้ไหม ถ้าไม่ได้ ก็ขาย แล้วก็หาวิธีรับคืน ให้ได้ราคาดีที่สุด ตามความสามารถ ของเรา ขายแล้วไม่ลง ก็ซวยละคับ ต้องไล่ซื้อคืน เพราะฉะนั้นจุดขายสำคัญ ขายแล้วต้องได้คืน ถ้าทำแล้วมันยากขึ้นเรื่อยๆ ก็แปลว้่า ทางขึ้นยาว ของหุ้นตัวนี้ กำลังจะเกิดแล้ว ชักคำสั่งขายทันที jas กรอบขึ้น ยืน 1.90 ได้ ก็ 2 บาท ผ่านได้ก็ 2.2 ยืนไม่อยู่ จะลงมาที่ 1.85 หุ้นเล็ก ๆ แบบนี้ ต้องใช้กราฟ ช่วย

***IRPC เป็นขาลงมา ปัจจุบัน เป็น แนวโน้มแกว่งตัวด้านข้าง กรอบแนวรับ 3.74 3.60 กรอบบน 4 บาท กับ 4.2 อย่าลืมนะคับ ตรง 4 บาท ห้ามวาง order ใช้ดูเอา ไม่ไหวค่อยขาย*** 



QH จบขาลง เป็น Sideway อาจจะเป็นขาขึ้นได้ ถ้า 1.40 รับอยู่ในสัปดาห์นี้ แนวรับอีกแนว คือ 1.32 ส่วนข้างบน คือ 1.53 ผ่านได้ คือ 1.6-1.7



ตัวสุดท้าย คือ RAIMON ตัวนี้ใครติด โชคดี เพราะ จากขาลง สู่ขาขึ้นทันที แบบนี้ ดูที่แนวต้าน ไม่ไหวก็ขาย ขายแล้ว อย่าลืมรับคืน อย่าลืมว่าเรากำลังจะเล่นไปตามแนวโน้ม ต้าน มี 2 แนว คือ1.2 กับ 1.3 

***หุ้นประเภทนี้ ห้ามซื้อเฉลี่ย อันตราย เพราะ เรามักใช้อารมณ์ตอนซื้อเฉลี่ย***

POST เป็นหุ้นเล็ก การจะขึ้นได้ ต้องมีคนเห็นด้วยกับเรา มากขึ้น แล้วเข้ามาเก็บ บางทีกำไร อย่างเดียว อธิบายไม่ได้ เอาเป็นว่า ถ้าเราศึกษาละเอียด มั่นใจในข้อมูล ก็เก็บไว้ได้ ดูว่ามีปันผล พอกับการถือเป็นปีได้ไหม ดูแค่นี้ก็พอ ถ้ามันดีจริง ยังไงก็ขึ้น ยกเว้นมันมีตำหนิ ที่เราไม่รู้ ตลาดเราไม่ต้องห่วงคับ 965 ไหวคับ ไม่มีคนขาย แล้วคับ ที่ขายอยู่เป็นมนุษย์ต่างดาว คับ (ข้อมูลหุ้นเมื่อ 23-Nov-11) BGH ขายทีละ 20%ที่ช่อง Bid ทุกวัน นับจากพรุ่งนี้คับ มีความหลังอะไร กับ ***trubb tmi หรือเปล่า ถ้าไม่มีก็อย่าไปยุ่งเลยคับ TTCL ยังไม่จบรอบคับ***



เรื่อง ข่าว ที่ควรจะอ่าน และ ไม่ควรอ่าน [12Mar-05] วันนี้ คุยเรื่อง ข่าว ที่ควรจะอ่าน และ ไม่ควรอ่าน มีข่าวว่า มีฝรั่ง 4-5 คน ไปที่ office ของ Gsteel ไม่รู้ไปทำอะไร มันเป็นข่าวซุบซิบ ในหนังสือพิมพ์ PostToday เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีน้องๆที่ทำงานเขาจดไว้ให้ผม ข้อมูลบางอย่าง ผ่านการลงในข่าวแล้ว แต่ไม่มีคนเห็น
วันนี้ Brook ก็ขึ้นมา อาจจะเรื่องเดียวกันก็ได้ พี่ก็เดาไปเรื่อย อย่าถือสา คนหน้าตาดี เลยนะ ข่าวหุ้น หรือ ทันหุ้น พวกนี้ ไม่ใช่ของจริง ใน กรุงเทพธุรกิจ Post today ประชาชาติ ฐาน ผู้จัดการ พวกนี้พอได้คับ เจ้ามือรายใหญ่ ไม่กล้าเล่นกับ นสพ ใหญ่ๆ กลัวเหมือนกัน ข่าว Mlink ไม่มีเงินจ่ายหนี้ ก็ออกมาก่อนหุ้นตก หนึ่งสัปดาห์นะ เวลาอ่านข่าว หาอ่านจุดซุบซิบ จะดีมากนะ ข่าวซุบซิบ ในคอลัมภ์หนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ข่าวลือ แต่คนเขียน เขาไม่เขียนตรงๆคนเขียน คือ ผู้สื่อข่าว ระดับ บอกอ ข่าวลือ ไม่มีที่มา เวลา เรายืน อยู่ในตลาดเก็งกำไร ข่าว มีส่วนสำคัญ ในการทำให้ เม็ดเงิน ที่มีอยู่มากในตลาด ไหล เข้ามาเก็งกำไร ในหุ้นตัวดังกล่าว ได้ง่าย ปัญหา คือ เราจะรู้ได้ยังไง ว่า อันไหน จริง อันไหนเท็จ อันไหนต้องจดไว้ อันไหนอ่านผ่านๆ ก็พอ เอาตัวอย่างข่าว มาเลยนะ เดี๋ยวพี่จะวิจารณ์จากของจริง หรือ ข่าวอะไรก็ได้

ตัวอย่าง เอาเรื่อง KTC นะคับ 3กลุ่มจ้องเทกฯเคทีซี ราคาเฉียด37-38บาท.
 ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 ผู้เข้าชม : 223 คน กรุงไทยเล็งเทนเดอร์ฯบัตรกรุงไทย หากรายย่อยไม่เล่นด้วย เตรียมแผนสองประมูลขายทำกำไร ระบุ 3 กลุ่มรอฮุบกรุงศรีฯ ธนชาต และเกียรตินาคิน ประเมิน 37-38 บาท ด้านผู้บริหาร KTC มั่นใจทั้งปี 2555 ผลประกอบการเป็นบวก รับไตรมาส 1/55 ยังขาดทุน แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เผยว่า ผู้บริหารแบงก์กรุงไทย หรือ KTB ได้สั่งให้ทำการศึกษาการเข้าถือหุ้นบมจ.บัตรกรุงไทย หรือ KTC ทั้ง 100% จากปัจจุบันที่ถืออยู่ 49% โดยการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หรือตั้งโต๊ะรับซื้อผู้ถือหุ้นจากรายย่อย โดยให้เวลาไปศึกษา 1 เดือน “แบงก์ กรุงไทยต้องการรุกบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคลอย่างเต็มตัว โดยตั้งใจที่จะซื้อกิจการบัตรกรุงไทยทั้ง 100% คืนจากรายย่อย เพราะเห็นว่าแนวโน้มรายได้จากธุรกิจด้านนี้มีมาร์จิ้นที่สูงกว่าสินเชื่อ ประเภทอื่นมาก” 
  • อย่างไรก็ตามราคาที่จะเสนอซื้อหุ้น เคทีซีจะอยู่ที่ 23 บาทต่อหุ้น หากเกินไปกว่านี้ถึง 25 บาท เพราะรายย่อยไม่ยอมขาย หรือราคาในกระดานสูง ธนาคารก็จะพิจารณาขายหุ้น KTC ทั้งหมดที่ถืออยู่โดยการเปิดประมูล เพื่อทำกำไรจากการขายหุ้น และไปสร้างธุรกิจบัตรเครดิตเอง สำหรับกลุ่มที่สนใจขณะนี้มีอยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธนชาต หรือ TCAP กลุ่มแบงก์กรุงศรีอยุธยา หรือ BAY และกลุ่มแบงก์เกียรตินาคิน หรือ KK ทั้ง นี้กลุ่มแบงก์กรุงศรีอยุธยา ต้องการซื้อพอร์ตของบัตรกรุงไทย เพื่อครองตลาดบัตรเครดิตอันดับหนึ่ง โดยทิ้งคู่แข่งแบงก์กสิกรไทย และไทยพาณิชย์แบบขาดลอย หลังจากซื้อ HSBC ด้วยมูลค่า 3,557 ล้านบาท

  • ขณะที่กลุ่มธนชาต ต้องการรุกสินเชื่อรายย่อย และหากได้พอร์ตของบัตรกรุงไทย 1.8 ล้านราย ซึ่งจะทำให้ฐานบัตรของธนาคารขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ใน 3 อันดับต้นๆ ของตลาด ด้านแบงก์เกียรตินาคิน มองว่าสินเชื่อบัตรเครดิตให้ผลตอบแทนที่สูง ดอกเบี้ยกว่า 18% ซึ่งจะเป็นการเสริมความสามารถการทำกำไรของกลุ่ม 
  • ขณะที่ KK เองก็มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะซื้อกิจการดังกล่าว โดยปัจจุบันคนของ KK ก็นั่งอยู่ในบอร์ดของกรุงไทย อย่างไรก็ตามหากเกิดประมูลราคา KTC มีการคาดการณ์กันว่าราคาจะอยู่ที่ประมาณ 37-38 บาทต่อหุ้น โดยคิดเป็น 2 เท่าบุ๊ค หลังจากที่ปีนี้บริษัทจะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิ จากการนำเงินตั้งสำรองที่ตั้งไว้เมื่อปีก่อนกว่า 5 พันล้านบาท กลับมาเป็นกำไร นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2554 แม้จะมีมาตรการการช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ผลกระทบของหนี้เสียที่เกิดขึ้นจะส่งผลเมื่ออายุของลูกหนี้นานเกินกว่า 90 วัน ซึ่งจะแสดงภาพชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/55 จึงคาดว่าผลประกอบการของบริษัทอาจมีผลประกอบการขาดทุน แต่เชื่อว่าจะสามารถกลับมาทำกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/55 เป็นต้นไป สำหรับผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้ผลประกอบการในปี 2554 ขาดทุน 1.6 พันล้านบาท เนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก อย่างแรก คือ ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญพิเศษสำหรับลูกหนี้เฉพาะกลุ่มที่คาดว่าได้รับความ เดือดร้อนจากน้ำท่วมอีก 633 ล้านบาท เพิ่มเติมจากสำรองปกติตามเกณฑ์นโยบายที่ 4.9 พันล้านบาท อย่างที่สอง คือ การตั้งสำรองเพิ่มพิเศษเพื่อรองรับการแลกสิทธิประโยชน์ของสมาชิกบัตรเครดิต KTC – รอยัล ออร์คิด จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการตลาด และสุดท้าย คือ มาตรการของรัฐที่ลดอัตราภาษีจาก 30% เหลือ 23% และ 20% ในปี 2555 และ 2556 ตามลำดับ ส่งผลต่อการรับรู้ผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต “ปี 2555 ผลประกอบการของบริษัทจะไม่ขาดทุน เพราะเชื่อมั่นในความสามารถในการสร้างรายได้ที่ดี โดยในปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% จากปีก่อน ซึ่งมีการตั้งเป้าลดต้นทุนต่อรายได้ โดยปัจจุบันอยู่ที่ 46% ให้ลดลงเหลือ 40% ในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะเป็นระดับเดียวกันกับอุตสาหกรรม” นายระเฑียร กล่าว



ตอบว่า…วันนั้นราคาหุ้น KTC อยู่ที่ 16.5 ก่อนหน้านี้ เพิ่งมีข่าวขาดทุนพันกว่าล้าน ราคาไหลลงแรง มาตั้งแต่ วันที่ 9 /2/2555 ที่ทำ high อยู่ใกล้ 18 บาท หมายความว่า มีนักเก็งกำไรรายใหญ่เข้ามาดันราคา พอเห็นว่า จะประกาศ ผลขาดทุน ก็ชิงขายก่อน ตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่า KTC ขึ้นมาด้วย เหตใด วันที่ 27 หุ้นตัวนี้ ขึ้นแรง วันที่ 28 ออกข่าว มาบอกเราว่า เฮ้ย อย่าเพิ่งขายนะ หุ้นตัวนี้มีข่าวโดนเทค ซ่อนอยู่ เล่นกันต่อไปนะ เดี๋ยวจะออกข่าว มาช่วยกระตุ้นเป็นระยะๆ มี Story ยาว ปัญหา ก็จริง หรือ ไม่จริงก็ไม่รู้ นี่ถือเป็นข่าว ประชาสัมพันธ์ KTC มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูง ซึ่งคนนั้น มาจากวงการหุ้นและการเงิน ผมว่าผมเดาเกมไม่ยาก



ข่าว มี 3 แบบ

  1. แบบที่หนึ่ง ไม่ได้ตั้งใจจะออกมา แต่รั่วออกมา แต่เนื้อข่าวไม่สามารถ ออกมาเป็นเรื่อง เป็นราวได้ ข้อมูลที่นักข่าวอาวุโสท่านนั้นได้มา ก็มาจากการพูดคุยในวงเหล้า ระหว่างแหล่งข่าว หรือไม่ก็นักข่าวอาวุโสด้วยกัน เพื่อจะได้รายงานข่าว ให้คนอ่านได้รู้ ต้องผ่านทางช่องทางข่าวซุบซิบ ใช้นามแฝงข่าวหุ้น หรือ ทันหุ้น พวกนี้ ไม่ใช่ของจริง เดี๋ยวจะบอกว่าทำไมใน กรุงเทพธุรกิจ Post today ประชาชาติ ฐาน ผู้จัดการ พวกนี้พอเชื่อได้คับ เจ้ามือรายใหญ่ ไม่กล้าเล่นกับ นสพ ใหญ่ๆ กลัวเหมือนกัน
  2. แบบที่สอง คือ ต้องการจะบอกรายย่อย ที่เข้าเล่นตัวนี้ว่า ยังเล่นได้ หุ้นมี Story พวกรายใหญ่ จะค่อยๆ เผย ข่าวดี ออกมาเป็นระยะ ผ่านทาง ข่าวหุ้น หรือ ทันหุ้น เพราะถือว่า ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ดังนั้น นสพ.ดังกล่าว ส่วนใหญ่ มักจะเป็นข่าว ประชาสัมพันธ์
  3. แบบที่สาม คือ ข่าวที่ประกาศ จริงๆ ข่าวไหนรั่ว ราคาหุ้นก็จะขึ้นมาก่อน ข่าวประกาศ ข่าวไหนไม่รั่วพอประกาศข่าว ในตลาด ราคาก็ขึ้นแรงเลย วันนั้นมีข่าวว่า มีฝรั่ง 4-5 คน ไปที่ office ของ Gsteel ไม่รู้ไปทำอะไร มันเป็นข่าวซุบซิบ ในหนังสือพิมพ์ PostToday เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีน้องๆที่ทำงานเขาจดไว้ให้ผม อันนี้ ผมถือว่าเป็นข่าวหลุดออกมาย้อนหลังไปหลายเดือน Gsteel กับ GJS เคยขึ้นแรง เพราะ มิตตัล จะมาเทค พอตกลงไม่ได้ ราคาก็ลงมา ตอนนั้นราคา Brook ของ มาชานลี ก็ขึ้นมาด้วยแปล ว่า หุ้นตัวนี้ จะขึ้นได้อีกที ก็ต้องมีกลุ่มใหม่ มา เทค คนที่สนใจหุ้นตัวนี้ก็ต้องตามข่าวนี้ รู้ไหมว่า GJS เป็นโรงงานเหล็กที่ทันสมัยที่สุด ในประเทศไทย ยังไง ต้องมีคนสนใจแน่นอน ปัญหา คือ จริงหรือไม่จริง และ เมื่อไหร่พอข่าวซุบซิบ นี้ออกมา ผมซึ่งตามข่าวนี้อยู่ ก็เลยต้องจดไว้ เพราะ มีคนสนใจแล้ว และ คำว่าเมื่อไหร่ ก็เริ่มเป็นไปได้ วันนี้ราคาหุ้นตัวนี้ขึ้น ผมก็แค่แจ้งสมาชิกว่า ในมือ ผมมีอะไร อย่าง Gsteel นี่ขึ้นมา พี่มองยังงัย Gsteel ขึ้นมาเพราะข่าวซุบซิบ...
เรื่อง Dimet วันที่เขาโยนออกมาแรงๆ แล้ว post today บอกว่า"เสี่ยไม่พอใจที่มีคนมาแย่งของ เลยโยนให้ แต่เจ้าตัวยังไม่ลืมเรื่องที่ตั้งใจไว้" หุ้นประเภทนี้ มีข้อตกลง ระหว่าง คนมีหุ้น กับคนทำหุ้น ต่างคนต่างมั่นใจ ใส่กันแบบไม่ไว้หน้า แต่สุดท้ายตกลงกันได้ ไอ้คนขายก็ซื้อคืนไป ไอ้คนซื้อก็ขายคืนเขาไป ถือเป็นข่าวรั่วออกมา ผมบอกได้แค่นี้ ข่าวประเภทไม่บอกแหล่งที่มา เช่นแหล่งข่าวระดับสูง กองบอกอ หรือไม่ระบุว่าใครเป็นคนเขียน ผมไม่อ่านเลยครับ เคยดู โคนัน ไหม นั่นแหละ การเชื่อข่าวลือ โดยที่ไม่มีอะไร อยู่ในหัวเลย อันตราย

เล่นหุ้น A ดู Fund Flow อย่างเดียว และข้อมูลธุรกิจเช่น ดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน ก็พอ เช็คข่าววงใน ไม่ได้คำตอบ มันมีหลายฝ่าย หลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น