ได้สร้างขึ้นไว้เพื่อเป็นสมุดจดบันทึกส่วนตัวเพื่อไว้อ่านได้ที่ไหนก็ได้ถ้ามีอินเตอร์เน็ต เช่นบันทึกการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และเรื่องราวอื่นๆใช้เตือนสติในการดำเนินชิวิตให้มีความสุขค่ะ ถ้าใครผ่านเข้ามาเจอะเจอไ่ม่ต้องแปลกใจนะค่ะว่าสาระไม่ค่อยมี แต่มันมีสาระสำหรับใจเจ้าของบล็อคนะค่ะ
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
คัดลอกมาเกี่ยวกับ Fund flow ต่างชาติ จาก Thailandstockinvestment
เมื่อเช้า SET ทำนิวไฮครับ 1 August 2011 SET peak at 1148.28 ; 26 February 2012 SET peak at 1148.61 (half day)http://thailandstockinvestment.blogspot.com/2012/02/how-far-will-foreigners-go.html
จากบทความและรูปภาพจากบทความที่่คัดลอกมาเก็บไว้เป็นคลังความรู้ส่วนตัว
การขึ้์นลงของSET Index แปรผันโดยตรงกับ Fund flow NDVR จากเหตูการ์ณ จันทร์ 26/9/2554 Set ดิ่งตามต่างชาติทิ้งหุ้น
ถ้าพบว่า การสะสมหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติได้มาถึงระดับที่เขาน่าจะกลับทิศเป็นระบายออกแล้ว SET ก็จะตามการกลับตัวนั้นทันที ส่วนอะไรจะบอกว่าต่างชาติจะกลับลำเปลี่ยนทิศ หรือแค่ลดพอร์ตระยะสั้นจะได้กล่าวต่อไปครับ วงกลมแดงอีกแห่งหนึ่งอยู่บริเวณด้านล่างของรูปซึ่งต่างชาติได้ขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องจนปริมาณหุ้นในมือลดลงมาถึงจุดกลับตัวแล้ว เขาก็จะหยุดขาย แต่เนื่องจากการปรับฐานลงจะทำให้คนกลัวอย่างมาก ดังนั้นหลังจากที่ต่างชาติหยุดขายและเปลี่ยนเป็นซื้อแล้ว ดัชนี SET จะยังคงลงไปต่ออีกระยะหนึ่งครับ ในภาพข้างบนเป็นการมองเหตุการณ์ในกรอบการปรับพอร์ตของต่างชาติแบบย่อย ๆ เท่านั้น
ระดับนี้อยู่ที่ 169,578.38 ล้านบาท ซึ่งตรงกันพอดีกับเส้นขอบเขตแนวโน้มสีเขียว ขอบบนด้านใน ถือว่าจุดที่ว่านี้เป็นแนวต้านการซื้อหุ้นของต่างชาติที่แข็งแกร่งมาก เนื่องจากถูกต้านจากทั้งเส้นสีเขียวขอบบนด้านใน และเส้นสีแดงมีดอกจันทน์ 1 ดวง ระดับดังกล่าว อยู่ห่างจากระดับการถือหุ้นไทยของต่างชาติในวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012 เพียง 5,409.81 ล้านบาท ถ้าในสัปดาห์นี้ต่างชาติซื้อสุทธิเฉลี่ยวันละ พันล้านเศษ ภายในวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2012 เส้นสีน้ำเงินก็จะชนแนวต้านดับเบิ้ลหินดังกล่าวแล้วครับ ดังนั้นสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดว่า ต่างชาติจะกลับลำขายหุ้นไทยออกยาวที่จุดดับเบิ้ลหินนี้หรือไม่ ถ้าต่างชาติกลับลำ เราต้องตอบสนองขายตามทันทีครับ แล้วไปรอเข้าใหม่กล่าวโดยสรุป การค้นคว้าของผม ได้เผยให้เห็นธรรมชาติการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นไทยว่า โดยรวมแล้วเขาค่อนข้างมีวินัย มีเป้าหมาย จุดเข้า จุดออก ที่ค่อนข้างชัดเจน อยู่ที่เราจะเชื่อตามเขาและมีวินัยเหมือนเขาหรือไม่ (อันนี้เตือนตัวเองให้่ท่องไว้จนขึ้นใจ) ส่วนตัวแล้วผมประเมินว่า โอกาสกลับลำของต่างชาติที่ดอกจันทน์แดง 1 ดวง มีค่อนข้างมาก ยกเว้นเงินนอกยังคงมีอีกมากจริง ๆ จึงจะดันขึ้นไปกลับลำที่ดอกจันทน์แดง 2 ดวง ครับ ก่อนจบผมขอเอาตัวเลขมาแปะไว้ว่า นักลงทุนต่างประเทศยังจะเข้าซื้อหุ้นไทยไปได้อีกไกลแค่ไหน ตามนี้ครับ
ดอกจันทน์ 1 ดวง เหลืออีก 5,409.81 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 2 ดวง เหลืออีก 32,716.80 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 3 ดวง เหลืออีก 60,882.30 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 4 ดวง เหลืออีก 82,835.36 ล้านบาท
จากบทความและรูปภาพจากบทความที่่คัดลอกมาเก็บไว้เป็นคลังความรู้ส่วนตัว
การขึ้์นลงของSET Index แปรผันโดยตรงกับ Fund flow NDVR จากเหตูการ์ณ จันทร์ 26/9/2554 Set ดิ่งตามต่างชาติทิ้งหุ้น
ถ้าพบว่า การสะสมหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติได้มาถึงระดับที่เขาน่าจะกลับทิศเป็นระบายออกแล้ว SET ก็จะตามการกลับตัวนั้นทันที ส่วนอะไรจะบอกว่าต่างชาติจะกลับลำเปลี่ยนทิศ หรือแค่ลดพอร์ตระยะสั้นจะได้กล่าวต่อไปครับ วงกลมแดงอีกแห่งหนึ่งอยู่บริเวณด้านล่างของรูปซึ่งต่างชาติได้ขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องจนปริมาณหุ้นในมือลดลงมาถึงจุดกลับตัวแล้ว เขาก็จะหยุดขาย แต่เนื่องจากการปรับฐานลงจะทำให้คนกลัวอย่างมาก ดังนั้นหลังจากที่ต่างชาติหยุดขายและเปลี่ยนเป็นซื้อแล้ว ดัชนี SET จะยังคงลงไปต่ออีกระยะหนึ่งครับ ในภาพข้างบนเป็นการมองเหตุการณ์ในกรอบการปรับพอร์ตของต่างชาติแบบย่อย ๆ เท่านั้น
ดอกจันทน์ 1 ดวง เหลืออีก 5,409.81 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 2 ดวง เหลืออีก 32,716.80 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 3 ดวง เหลืออีก 60,882.30 ล้านบาท
ดอกจันทน์ 4 ดวง เหลืออีก 82,835.36 ล้านบาท
บทความของ ดร.นิเวศน์ 27/2/2555
Monday, 27 February 2012
ลงทุนอย่างสบายใจ« วัฒนธรรมเภท | Main
การลงทุนในหุ้นนั้น หลาย ๆ คนมักจะรู้สึกเครียดและมีกังวลอยู่ตลอดเวลา เขากลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดในประเทศไทยหรือในโลกนี้ซึ่งจะทำให้หุ้นตกทั้งตลาดและทำให้หุ้นเขาตกลงไปด้วย เขากังวลว่าหุ้นตัวที่เขาถืออยู่อาจจะมีปัญหาหรือมีเหตุการณ์ไม่ดีซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้เขาขาดทุนมากมายอย่าง “ไม่คาดฝัน” การลงทุนในหุ้นดูเหมือนว่าจะมี “ต้นทุน” ที่ไม่ใช่ตัวเงินแฝงอยู่นั่นก็คือ ความกังวลและความไม่สบายใจ และนั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นบ่อยเพื่อ “ลดความไม่สบายใจ” ในสถานการณ์ที่ “ไม่แน่นอน” แต่นี่มักจะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราลดลงในระยะยาว คำถามก็คือ จะทำอย่างไรถึงจะทำให้เราสามารถลงทุนอย่างสบายใจได้?
สูตรการลงทุนอย่างสบายใจของผมก็คือ ข้อแรก จงตั้งความหวังผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นให้เหมาะสมนั่นก็คือ ผลตอบแทนทบต้นต่อปีเฉลี่ยประมาณ 10% ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถสูงมาก ก็อาจจะตั้งความหวังได้สูงขึ้น แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 15% ต่อปี โดยคำว่าระยะยาวของผมนั้นจะต้องยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป การตั้งความหวังที่เหมาะสมนั้นจะทำให้เรามีโอกาสบรรลุผลได้ไม่ยากเกินไปซึ่งจะทำให้เราไม่ต้อง “เร่ง” ผลตอบแทนโดยวิธีการต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ไม่ต้องเล่น “หุ้นร้อน” หรือ ไม่ต้องใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้น เป็นต้น ซึ่งทำให้เราสามารถลงทุนหุ้นได้แบบ “ชิว ๆ”
ข้อสอง เลือกซื้อหุ้นที่เน้นความปลอดภัยของตัวกิจการเป็นหลัก นี่คือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงช้าในด้านของธุรกิจ เป็นกิจการที่ไม่ล้ำสมัยแต่ไม่ล้าสมัย เป็นกิจการที่เป็น “ผู้นำ” มีฐานะทางการเงินดี และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ เป็นกิจการที่เราเองมีโอกาสได้พบเห็นหรือได้ใช้บริการเป็นประจำ
ข้อสาม ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้นอย่างเหมาะสม นั่นก็คือ ถ้ามีเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ก็ควรต้องมีหุ้นอย่างน้อยประมาณ 5 ตัวโดยที่ตัวใหญ่สุดไม่ควรจะเกิน 30% ของพอร์ต นอกจากนั้น ควรจะถือหุ้นในหลาย ๆ อุตสาหกรรม แต่ถ้ามีเงินลงทุนค่อนข้างมากเช่นเป็น 10 ล้านบาทขึ้นไป หุ้นที่ลงก็อาจจะมากขึ้นไปได้ แต่ก็ต้องไม่มากจนเกินไป เพราะมิฉะนั้นเราก็อาจจะมีหุ้นที่เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ทำให้เราขาดการเอาใจใส่และทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราด้อยลงไปได้ โดยทั่วไปแล้ว ผมคิดว่าถ้ามีเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท ก็ไม่ควรถือหุ้นเกิน 10-15 ตัว
ข้อสี่ เราควรพยายามตั้งเป็นกฎคร่าว ๆ ว่าในแต่ละปีเราจะมีการซื้อขายหุ้นไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน กฎง่าย ๆ ของผมก็คือ ปริมาณการซื้อขายหุ้นของเราในแต่ละปีไม่ควรจะเกิน 2 เท่าของขนาดของพอร์ตของเรา เช่น ถ้าพอร์ตของเราเท่ากับ 1 ล้านบาทในตอนต้นปี เราควรซื้อขายหุ้นในปีนั้นไม่เกิน 2 ล้านบาท นั่นแปลว่า เราจะถือหุ้นแต่ละตัวเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉลี่ย ถ้าเราซื้อขายหุ้นมากกว่านั้นก็แสดงว่าเราอาจจะถือหุ้นสั้นเกินไปและอาจจะหมายความว่าเราเป็น “นักเก็งกำไร” แทนที่จะเป็น “นักลงทุน” และประเด็นของผมก็คือ การเป็นนักเก็งกำไรนั้น ก่อให้เกิดความตึงเครียดสูงกว่านักลงทุนมาก
ข้อห้า อย่าสนใจการขึ้นหรือลงของหุ้นแต่ละตัวมากนัก พยายามมองภาพรวมของพอร์ตหุ้นว่าเติบโตขึ้นหรือลดลง การ ไปเน้นดูหุ้นแต่ละตัวก่อให้เกิดความเครียดเพราะเราจะพบหุ้นที่มีราคาตกลงไป มากและอาจจะพยายามไปทำอะไรกับมันที่อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดี ที่สำคัญก็คือ อย่าไปดูราคาหุ้นทุกตัวทุกวัน วิธีที่ผมแนะนำก็คือ ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน เราก็คำนวณดูว่าพอร์ตการลงทุนของเราเป็นเท่าไรโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่มากมาย โดยการดูเป็นพอร์ตนี้ เราก็จะเห็นว่าความผันผวนมันน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นแต่ละตัว และนี่ทำให้เราเครียดน้อยลง และถ้าเราลงทุนเลือกหุ้นได้ถูกต้องโดยเฉลี่ย เราก็ควรจะเห็นพอร์ตของเราโตขึ้นอย่างช้า ๆ และมั่นคงเมื่อเวลาผ่านไป
ข้อหก การที่เราจะทำอะไรกับหุ้นแต่ละตัวนั้น ไม่ควรจะเน้นไปที่ด้านของราคาหุ้นรายวัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ทุกไตรมาศ เราต้องติดตามดูว่าผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไร มันเป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ไหม? เช่น ดีขึ้น ดีขึ้นมาก แย่ลง แย่ลงมาก เพราะอะไร? จากนั้นก็สามารถนำมาตัดสินได้ว่าเราจะทำอะไรกับหุ้น โดยปกติถ้าเราลงทุนหุ้นถูกตัวแล้ว ส่วนใหญ่เราก็มักจะไม่ต้องทำอะไร แต่ในบางกรณีที่เราคาดการณ์ผิด เราก็อาจจะขายทิ้งได้ เช่นเดียวกัน บางครั้งเราก็อาจจะซื้อเพิ่ม โดยวิธีนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลเป็นรายวันกับราคาของหุ้นมากนัก
ข้อเจ็ด เมื่อเราได้รับปันผลมา อย่านำเงินไปใช้หรือเอาออกจากพอร์ตถ้าไม่จำเป็น นำปันผลนั้นกลับไปซื้อหุ้นกลับเข้าพอร์ตเพื่อทำพอร์ตให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นหลักการลงทุนแบบทบต้นซึ่งจะทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นแบบทวีคูณ เป้าหมายของเราควรจะตั้งไว้ว่าเราต้องการสร้างพอร์ตนี้เพื่อเป็นเงินเพื่อการเกษียณหรือเป็นเงินมรดกเพื่อลูกหลาน เงินที่เราจะนำไปใช้จ่ายนั้นควรเป็นเงินที่เราทำมาหาได้จากน้ำพักน้ำแรงมากกว่า ถ้าคิดได้แบบนี้ เราก็จะสบายใจว่านี่เป็น “เงินเย็น” ที่จะอยู่กับเราต่อไปอีกนานเราจะเครียดน้อยลง
ข้อแปด ทุกปี เราต้องคำนวณหาผลตอบแทนประจำปีดูว่าเราทำได้เท่าไรเทียบกับผลตอบแทนของตลาดและเทียบกับเป้าหมายระยะยาวของเราซึ่งก็คือ 10-15% ที่เราตั้งไว้ ถ้าเราทำได้ดีกว่าตลาดและดีกว่าเป้า เราก็ควรจะดีใจโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ถ้าเราทำได้แพ้ตลาดแต่ยังทำได้ตามเป้าเราก็ยังควรจะดีใจเพราะในไม่ช้าเป้าหมายระยะยาวของเราก็ไปได้ถึง แต่ถ้าเราแพ้ทั้งตลาดและก็ไม่ได้ตามเป้าส่วนตัวของเรา เราก็อาจจะเสียใจบ้างแต่ก็ควรจะดูต่อไปว่าปันผลที่ได้รับในปีนั้นของเราเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้ามันยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน นั่นก็อาจจะเป็นเครื่องปลอบเราว่าที่จริงการลงทุนของเรานั้นไม่ได้ผิดพลาด มันยังก้าวหน้าไป เพียงแต่ในระยะสั้น ๆ ตลาดหุ้นอาจจะไม่เป็นใจทำให้ราคามันลดลง แต่ในอนาคต มันก็คงจะปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ยาก ว่าที่จริง ในระยะยาวจริง ๆ แล้ว ปันผลนั้นถือว่าเป็นเครื่องวัดที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งว่า เราลงทุนได้ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจ เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตกเลย
ทั้งหมดนั้นก็เป็นกลวิธีการลงทุนที่จะทำให้เรามีความสบายใจ ใช้เวลาไม่มาก ไม่เครียด และได้ผลดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีงานประจำเต็มเวลา การลงทุนแบบนี้เปรียบไปก็จะคล้าย ๆ กับการปลูกต้นไม้ใหญ่ยืนต้นที่เราเฝ้าดูแลมันเติบโตขึ้นช้า ๆ แต่มั่นคง โดยที่เราไม่ต้องเร่งมัน แต่เมื่อถึงวันหนึ่ง เราก็จะได้อาศัยร่มเงาและผลของมันมากินได้ต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่พึ่งของเราได้
ลงทุนอย่างสบายใจ« วัฒนธรรมเภท | Main
การลงทุนในหุ้นนั้น หลาย ๆ คนมักจะรู้สึกเครียดและมีกังวลอยู่ตลอดเวลา เขากลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดในประเทศไทยหรือในโลกนี้ซึ่งจะทำให้หุ้นตกทั้งตลาดและทำให้หุ้นเขาตกลงไปด้วย เขากังวลว่าหุ้นตัวที่เขาถืออยู่อาจจะมีปัญหาหรือมีเหตุการณ์ไม่ดีซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้เขาขาดทุนมากมายอย่าง “ไม่คาดฝัน” การลงทุนในหุ้นดูเหมือนว่าจะมี “ต้นทุน” ที่ไม่ใช่ตัวเงินแฝงอยู่นั่นก็คือ ความกังวลและความไม่สบายใจ และนั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นบ่อยเพื่อ “ลดความไม่สบายใจ” ในสถานการณ์ที่ “ไม่แน่นอน” แต่นี่มักจะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราลดลงในระยะยาว คำถามก็คือ จะทำอย่างไรถึงจะทำให้เราสามารถลงทุนอย่างสบายใจได้?
สูตรการลงทุนอย่างสบายใจของผมก็คือ ข้อแรก จงตั้งความหวังผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นให้เหมาะสมนั่นก็คือ ผลตอบแทนทบต้นต่อปีเฉลี่ยประมาณ 10% ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถสูงมาก ก็อาจจะตั้งความหวังได้สูงขึ้น แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 15% ต่อปี โดยคำว่าระยะยาวของผมนั้นจะต้องยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป การตั้งความหวังที่เหมาะสมนั้นจะทำให้เรามีโอกาสบรรลุผลได้ไม่ยากเกินไปซึ่งจะทำให้เราไม่ต้อง “เร่ง” ผลตอบแทนโดยวิธีการต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ไม่ต้องเล่น “หุ้นร้อน” หรือ ไม่ต้องใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้น เป็นต้น ซึ่งทำให้เราสามารถลงทุนหุ้นได้แบบ “ชิว ๆ”
ข้อสอง เลือกซื้อหุ้นที่เน้นความปลอดภัยของตัวกิจการเป็นหลัก นี่คือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงช้าในด้านของธุรกิจ เป็นกิจการที่ไม่ล้ำสมัยแต่ไม่ล้าสมัย เป็นกิจการที่เป็น “ผู้นำ” มีฐานะทางการเงินดี และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ เป็นกิจการที่เราเองมีโอกาสได้พบเห็นหรือได้ใช้บริการเป็นประจำ
ข้อสาม ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้นอย่างเหมาะสม นั่นก็คือ ถ้ามีเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ก็ควรต้องมีหุ้นอย่างน้อยประมาณ 5 ตัวโดยที่ตัวใหญ่สุดไม่ควรจะเกิน 30% ของพอร์ต นอกจากนั้น ควรจะถือหุ้นในหลาย ๆ อุตสาหกรรม แต่ถ้ามีเงินลงทุนค่อนข้างมากเช่นเป็น 10 ล้านบาทขึ้นไป หุ้นที่ลงก็อาจจะมากขึ้นไปได้ แต่ก็ต้องไม่มากจนเกินไป เพราะมิฉะนั้นเราก็อาจจะมีหุ้นที่เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ทำให้เราขาดการเอาใจใส่และทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราด้อยลงไปได้ โดยทั่วไปแล้ว ผมคิดว่าถ้ามีเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท ก็ไม่ควรถือหุ้นเกิน 10-15 ตัว
ข้อสี่ เราควรพยายามตั้งเป็นกฎคร่าว ๆ ว่าในแต่ละปีเราจะมีการซื้อขายหุ้นไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน กฎง่าย ๆ ของผมก็คือ ปริมาณการซื้อขายหุ้นของเราในแต่ละปีไม่ควรจะเกิน 2 เท่าของขนาดของพอร์ตของเรา เช่น ถ้าพอร์ตของเราเท่ากับ 1 ล้านบาทในตอนต้นปี เราควรซื้อขายหุ้นในปีนั้นไม่เกิน 2 ล้านบาท นั่นแปลว่า เราจะถือหุ้นแต่ละตัวเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉลี่ย ถ้าเราซื้อขายหุ้นมากกว่านั้นก็แสดงว่าเราอาจจะถือหุ้นสั้นเกินไปและอาจจะหมายความว่าเราเป็น “นักเก็งกำไร” แทนที่จะเป็น “นักลงทุน” และประเด็นของผมก็คือ การเป็นนักเก็งกำไรนั้น ก่อให้เกิดความตึงเครียดสูงกว่านักลงทุนมาก
ข้อห้า อย่าสนใจการขึ้นหรือลงของหุ้นแต่ละตัวมากนัก พยายามมองภาพรวมของพอร์ตหุ้นว่าเติบโตขึ้นหรือลดลง การ ไปเน้นดูหุ้นแต่ละตัวก่อให้เกิดความเครียดเพราะเราจะพบหุ้นที่มีราคาตกลงไป มากและอาจจะพยายามไปทำอะไรกับมันที่อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดี ที่สำคัญก็คือ อย่าไปดูราคาหุ้นทุกตัวทุกวัน วิธีที่ผมแนะนำก็คือ ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน เราก็คำนวณดูว่าพอร์ตการลงทุนของเราเป็นเท่าไรโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่มากมาย โดยการดูเป็นพอร์ตนี้ เราก็จะเห็นว่าความผันผวนมันน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นแต่ละตัว และนี่ทำให้เราเครียดน้อยลง และถ้าเราลงทุนเลือกหุ้นได้ถูกต้องโดยเฉลี่ย เราก็ควรจะเห็นพอร์ตของเราโตขึ้นอย่างช้า ๆ และมั่นคงเมื่อเวลาผ่านไป
ข้อหก การที่เราจะทำอะไรกับหุ้นแต่ละตัวนั้น ไม่ควรจะเน้นไปที่ด้านของราคาหุ้นรายวัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ทุกไตรมาศ เราต้องติดตามดูว่าผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไร มันเป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ไหม? เช่น ดีขึ้น ดีขึ้นมาก แย่ลง แย่ลงมาก เพราะอะไร? จากนั้นก็สามารถนำมาตัดสินได้ว่าเราจะทำอะไรกับหุ้น โดยปกติถ้าเราลงทุนหุ้นถูกตัวแล้ว ส่วนใหญ่เราก็มักจะไม่ต้องทำอะไร แต่ในบางกรณีที่เราคาดการณ์ผิด เราก็อาจจะขายทิ้งได้ เช่นเดียวกัน บางครั้งเราก็อาจจะซื้อเพิ่ม โดยวิธีนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลเป็นรายวันกับราคาของหุ้นมากนัก
ข้อเจ็ด เมื่อเราได้รับปันผลมา อย่านำเงินไปใช้หรือเอาออกจากพอร์ตถ้าไม่จำเป็น นำปันผลนั้นกลับไปซื้อหุ้นกลับเข้าพอร์ตเพื่อทำพอร์ตให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นหลักการลงทุนแบบทบต้นซึ่งจะทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นแบบทวีคูณ เป้าหมายของเราควรจะตั้งไว้ว่าเราต้องการสร้างพอร์ตนี้เพื่อเป็นเงินเพื่อการเกษียณหรือเป็นเงินมรดกเพื่อลูกหลาน เงินที่เราจะนำไปใช้จ่ายนั้นควรเป็นเงินที่เราทำมาหาได้จากน้ำพักน้ำแรงมากกว่า ถ้าคิดได้แบบนี้ เราก็จะสบายใจว่านี่เป็น “เงินเย็น” ที่จะอยู่กับเราต่อไปอีกนานเราจะเครียดน้อยลง
ข้อแปด ทุกปี เราต้องคำนวณหาผลตอบแทนประจำปีดูว่าเราทำได้เท่าไรเทียบกับผลตอบแทนของตลาดและเทียบกับเป้าหมายระยะยาวของเราซึ่งก็คือ 10-15% ที่เราตั้งไว้ ถ้าเราทำได้ดีกว่าตลาดและดีกว่าเป้า เราก็ควรจะดีใจโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ถ้าเราทำได้แพ้ตลาดแต่ยังทำได้ตามเป้าเราก็ยังควรจะดีใจเพราะในไม่ช้าเป้าหมายระยะยาวของเราก็ไปได้ถึง แต่ถ้าเราแพ้ทั้งตลาดและก็ไม่ได้ตามเป้าส่วนตัวของเรา เราก็อาจจะเสียใจบ้างแต่ก็ควรจะดูต่อไปว่าปันผลที่ได้รับในปีนั้นของเราเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้ามันยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน นั่นก็อาจจะเป็นเครื่องปลอบเราว่าที่จริงการลงทุนของเรานั้นไม่ได้ผิดพลาด มันยังก้าวหน้าไป เพียงแต่ในระยะสั้น ๆ ตลาดหุ้นอาจจะไม่เป็นใจทำให้ราคามันลดลง แต่ในอนาคต มันก็คงจะปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ยาก ว่าที่จริง ในระยะยาวจริง ๆ แล้ว ปันผลนั้นถือว่าเป็นเครื่องวัดที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งว่า เราลงทุนได้ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจ เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตกเลย
ทั้งหมดนั้นก็เป็นกลวิธีการลงทุนที่จะทำให้เรามีความสบายใจ ใช้เวลาไม่มาก ไม่เครียด และได้ผลดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีงานประจำเต็มเวลา การลงทุนแบบนี้เปรียบไปก็จะคล้าย ๆ กับการปลูกต้นไม้ใหญ่ยืนต้นที่เราเฝ้าดูแลมันเติบโตขึ้นช้า ๆ แต่มั่นคง โดยที่เราไม่ต้องเร่งมัน แต่เมื่อถึงวันหนึ่ง เราก็จะได้อาศัยร่มเงาและผลของมันมากินได้ต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่พึ่งของเราได้
วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การใช้ Directional movement เพื่อหาจุดซื้อที่ดีที่สุด
การใช้ Directional movement เพื่อหาจุดซื้อที่ดีที่สุด ก็มีกฎเกณฑ์ที่ควรพิจารณาประกอบ เพื่อให้สัญญาณยืนยันชัดเจน ด้วยการนำกฎของดาว (Parabolic) มาประกอบ มีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน
1 เมื่อ เส้น DI+ ตัดเส้น DI- ก่อนจะซื้อดูกฎข้อที่ 2
2 ดาว (Parabolic) ลงมาอยู่ใต้แนวโน้มของราคาหุ้น และ รอ ข้อ 3
3 ราคาปิดสามารถปิดเหนือราคาสูงสุดของวันที่เส้น DI+ ตัดเส้น DI- ขึ้นไป
หากขาดข้อหนึ่งข้อใด สัญญาณการซื้อ ถือว่ายังไม่สมบูรณ์
สิ่งที่ต้องทำคือ เฝ้ารอจนครบกฎเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อ จะไม่ผิดพลาดในการเข้าซื้อ
1 เมื่อ เส้น DI+ ตัดเส้น DI- ก่อนจะซื้อดูกฎข้อที่ 2
2 ดาว (Parabolic) ลงมาอยู่ใต้แนวโน้มของราคาหุ้น และ รอ ข้อ 3
3 ราคาปิดสามารถปิดเหนือราคาสูงสุดของวันที่เส้น DI+ ตัดเส้น DI- ขึ้นไป
หากขาดข้อหนึ่งข้อใด สัญญาณการซื้อ ถือว่ายังไม่สมบูรณ์
สิ่งที่ต้องทำคือ เฝ้ารอจนครบกฎเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อ จะไม่ผิดพลาดในการเข้าซื้อ
อีกตัวที่ต้องดูว่าหุ้นจะมีคนเทรดมากหรือไม่ก็คือ ADX หากมีค่าสูงเกินกว่า 20 และสโลพขึ้น บ่งบอกถึงเป็นหุ้นที่คนนิยมเทรดcredit Kanit Thassana กลุ่ม แมงเม่าสำราญ
รายงานซื้อขายผู้บริหาร
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin2/daily59.php
24/2/2555 BGH ซื้อมาหลายวันละ ประคองหุ้นไป
หลังจากมีข่าวดรงพยาบาล ศิริราชจะเปิดศูนย์รักษาแบบพรีเมี่ยม
ทำให้หุ้นร่วง (ข่าวนะ) แต่กราฟ รอแป๊ป จะไปเอามาดูกัน
24/2/2555 BGH ซื้อมาหลายวันละ ประคองหุ้นไป
หลังจากมีข่าวดรงพยาบาล ศิริราชจะเปิดศูนย์รักษาแบบพรีเมี่ยม
ทำให้หุ้นร่วง (ข่าวนะ) แต่กราฟ รอแป๊ป จะไปเอามาดูกัน
ระบบช่วยเทรด Forex ไปทำสำเนาเอามาเก็บไว้
จากคุณ FB:superboon Thailand
เทคนิคที่ดี ๆ ง่าย ๆ แต่สามารถทำกำไรได้ดี
ให้คุณเซ็ต Indicartor ตามนี้
Moving Average = 12,10,8,6 สีน้ำเงิน ,
Moving Average = 33,36,39,41 สีแดง
MACD = Fast EMA = 12, Slow EMA = 26, MACD SMA = 1
เทคนิคที่ดี ๆ ง่าย ๆ แต่สามารถทำกำไรได้ดี
ให้คุณเซ็ต Indicartor ตามนี้
Moving Average = 12,10,8,6 สีน้ำเงิน ,
Moving Average = 33,36,39,41 สีแดง
MACD = Fast EMA = 12, Slow EMA = 26, MACD SMA = 1
อธิบายแบบนี้ไหมค่ะ แถบเส้นสีน้ำเงินเหนือแถบเส้นสีแดง UP TREND แถบเว้นสีน้ำเงินต่ำกว่าแถบแดง Down trend
อาจจะมีสัญญาณหลอกบ้างแต่ส่วนตัวผมว่าทำกำไรได้ดีเพราะเวลาเข้าถูกทางผมจะตั้งเป้าหมายไว้ 100 จุด และตั้งกันขาดทุนที่ 30 -40 จุด เผื่อไว้
Peter lynch style
1. คุณจะซื้อหุ้นแบบไหน หุ้นเล็กหรือหุ้นใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณได้ลงทุนในหุ้นแล้ว เพราะประเด็นหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่เป็นประเด็นรองจริงๆ วิธีคิด คือ ลงทุนในหุ้นเสียเถอะ ถ้าต้องการผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี
3. ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตามในการเลือกหุ้นหรือกรองหุ้นลงทุน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะตัดสินว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็คือ ความสามารถของคุณในการเพิกเฉยต่อความกังวลกับเรื่องต่างๆในโลกได้ยาวนานพอที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่จะกำหนดชะตากรรมของนักลงทุน ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมอารมณ์ต่างหาก นักลงทุนขี้ตกใจจะถูกกดดันให้ออกจากตลาดในยามที่ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย ไม่ว่าพวกเขาจะเฉลียวฉลาดปานใดก็ตาม
4. กฎข้อ 3 ของลินซ์: อย่าพึ่งซื้อหุ้นตัวไหนจนกว่าคุณจะสามารถอธิบายมันออกมาเป็นภาพวาดได้
5. การซื้อลงทุนในสิ่งที่คุณมีความรู้ ความเข้าใจเป็นหนึ่งในความคิดหลักของพวกเรา และในพอร์ตหุ้นควรจะมีหุ้นปันผลดีอย่างน้อย 1-2 ตัวเสมอ
6. การศึกษารายงานเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักว่า หุ้นหลายๆตัวที่ผมได้ขายออกไปหลังจากที่ซื้อมาได้สองสามเดือนเป็นหุ้นที่ผมควรจะถือเอาไว้ยาวนานกว่านั้นมาก นี่ไม่ใช่ความภักดีแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นการกอดหุ้นของบริษัทที่ดูน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆเอาไว้ รายชื่อหุ้นที่ผมไม่ควรขายออกไป ประกอบด้วย Albertson’s หุ้นโตเร็วที่ราคาได้เพิ่มสูงขึ้น 300 เท่า Toy R US, Pic N Save ที่ได้กล่าวไปแล้ว Warner communications หุ้นที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคแนะนำให้ผมขาย และ Federal Express หุ้นทีผมซื้อมาในราคา $5 และขายทำกำไรไปที่ราคา $10 แล้วก็ได้แต่นั่งมองราคาของมันขึ้นไปที่ $ 70 ภายในระยะเวลา 2 ปี
7. เวลาที่ Lynch พูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆเขามักจะจบด้วยคำถามที่ว่า “คุณนับถือคู่แข่งรายไหนของคุณมากที่สุด” ถ้ามีคำตอบมันก็จะเป็นการรับรองความเก่งของบริษัทคู่แข่งที่ทรงพลังมากทีเดียว ในท้ายที่สุด Lynch ก็จะทำการสั่งซื้อหุ้นของบริษัทคู่แข่งของพวกเขาอยู่บ่อยๆ
8. ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณรู้จักบริษัทดีแค่ไหน มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นเสมอ
9. หุ้นถูกเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับนักลงทุนพันธ์แท้ ความมั่งคั่งที่ลดลงไป 10-30% ในช่วงที่ตลาดตกต่ำไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เราไม่ได้มองการตกลงของตลาดเป็นหายนะ แต่มองมันเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มที่ราคาถูกๆ นี่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความร่ำรวย
10. เมื่อไหร่ที่ความคาดหวังของนักลงทุนมีสูงเกินไปกับบริษัทหนึ่งๆ จนผลการดำเนินงานตามไม่ทัน เมื่อนั้นตลาดก็จะทำการเทขายหุ้นอกมา แล้วเราค่อยไปติดตามดูทีหลังก็ได้ว่ากิจการเป็นอย่างไร มีแนวโน้มการทำกำไรดีขึ้นหรือไม่ อย่าเข้าไปตอนที่หุ้นกำลังร้อนแรง เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะเราอาจจะอยู่บนดอยได้ อิ อิ
11. นักลงทุนที่พอร์ตเล็ก อาจจะใช้กฎหุ้น 5 ตัวและเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพียงห้าตัว หากหุ้นตัวหนึ่งของคนให้กำไรคุณ 10 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นอีก 4 ตัวไม่ไปไหน พอร์ตของคุณโดยรวมก็โตเป็นสามเท่าแล้ว
12. หากหุ้นมีราคาสูงกว่าเส้นกราฟของผลกำไรของมัน ราคาหุ้นจะไม่ไปไหนหรือไม่ก็จะตกลงมาจนกระทั่งราคาของมันกลับมามีควาสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
13. ให้ซื้อหุ้นในตอนที่เส้นราคาหุ้นอยู่ที่เดียวกับหรือต่ำกว่าเส้นผลกำไรและอย่าซื้อหุ้น หากเส้นราคาอยู่สูงกว่าเส้นกำไร
14. การจำกัดการซื้อขายหุ้นของคุณในบริษัทจำนวนหนึ่งที่คุณสามารถติดตามได้อย่างทั่วถึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครั้งที่คุณได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งมาแล้ว คุณจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและบริษัทนี้ คุณจะได้เรียนรู้ว่า บริษัทนี้เป็นอย่างไรบ้างในช่วงที่เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ปัจจัยอะไรบเงที่มีผลต่อการทำกำไรและอื่นๆ ไม่ช้าก็เร็ว ข่าวร้ายจะทำให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลงและหุ้นตัวเก่าๆที่คุณชอบก็จะกลับมามีราคาถูกอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนของคุณ
15. หุ้นต้องได้รับการตรวจสอบเป็นระยะๆเพื่อดูว่ามันมีเรื่องราวหรือจุดหักเหอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นหรือไม่ หากบริษัทยังไม่ล้มละลาย เรื่องราวก็ยังไม่จบ หุ้นที่คุณเคยมีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือ 2 ปีที่แล้ว อาจจะกลับมามีความน่าสนใจในการลงทุนอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นการจดบันทึกเป็น diary เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นที่เคยซื้อ เคยขาย และเหตุผลในการซื้อขายก็จะทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้เสมอ
16. การคัดเลือกหุ้นเป็นทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การให้น้ำหนักทางด้านใด ด้านหนึ่งมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้ คนที่มุ่งเน้นแต่ในเรื่องของตัวเลขและงบดุลเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย เพราะถ้าหากคุณสามารถบอกอนาคตจากการดูงบดุลได้แล้วล่ะก็ นักคณิตศาสตร์และนักบัญชีจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้วในขณะนี้
17. เครื่องมือที่ซับซ้อนต่างๆ การใช้บริการข้อมูลของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ ตามแหล่งข้อมูลต่างๆทั้งที่จ่ายเงินและไม่จ่ายเงินจะไม่มีประโยชน์เลย หากคุณไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง เอาเวลาไปเดินตามศูนย์การค้าเพื่อตรวจสอบสินค้า ออกไปเสาะหาข้อมูลจริงๆจะดีกว่าถ้าทำได้ (Scuttlebut)
18. นักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นเป็นร้อยๆตัวเหมือนผม (Lynch) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการคือ หาหุ้นที่กำไรมากๆสองสามตัวในทุกๆ 10 ปีเท่านั้น
19. ถ้าเราสนใจในบริษัทโตเร็วแห่งหนึ่งแต่ราคาสูงมากเกินไปแล้ว (PE สูงมาก) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็คือ การซื้อหุ้นในจำนวนน้อยๆก่อนและค่อยซื้อเพิ่มในตอนที่ตลาดเกิดการเทขาย และสำหรับหุ้นโตเร็ว คุณสามารถที่จะรอจนเรื่องราวมันชัดเจนแล้วค่อยเข้าไปลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าไปซื้อหุ้นในตอนเริ่มต้นในตอนที่ร้านกำลังขยายสาขาแค่ 100 สาขา เอาไว้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น แล้วค่อยไปลงทุนก็ยังไม่สายเมื่อบริษัทขยายไปแล้ว 200 สาขา แต่ยังโตได้อีกเป็น 400 หรือ 500 หรือแม้กระทั่ง 1000 สาขา
20. หุ้นที่ขึ้นมาแล้ว 10 เท่าไม่ใช่มันจะไปต่อเป็น 20 เท่า 30 เท่าไม่ได้ ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ และมันยังโตต่อเนื่อง
21. เทคนิคหนึ่งที่ใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ การรอคอยให้ความคิดเห็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนึ่งๆเปลี่ยนจากไม่ดีกลายมาเป็นแย่สุดๆ จากนั้นก็เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ไม่เสมอไปให้ดูประกอบกับข้อมูลที่ว่าสถานการณ์มันกำลังจะดีขึ้น)
22. ในสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอยมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวเลข SSS (same store sales) จะมีค่าลดลง แต่จะเป็นเรื่องแปลกถ้าหากพบว่าตัวเลข SSS มีค่าลดลงในสภาวะที่เศรษฐกิจดีขึ้น
23. วิธีการหนึ่งในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทก็คือ การเปรียบเทียบ market cap ของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ดูว่าราคาของบริษัทที่เราสนใจในปัจจุบันมันสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัทที่ใกล้เคียง ถ้ามันถูกต่างกันมากก็ให้ทำการวิเคราะห์ต่อว่ามันสมควรแล้วที่ถูก หรือถ้าเราไม่สามารถหาความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อะไรก็คล้ายกันไปหมด ความสามารถในการทำกำไรก็ไม่ต่างกัน และพบว่ามันถูกแบบไร้เหตุผล ก็ให้ทำการเคาะขวาได้เลย อย่ารอช้าเดี๋ยวราคาหุ้นจะวิ่งหนีก่อน
24. เมื่อไหร่ก็ตามที่แม้กระทั่งนักวิเคราะห์เองก็เริ่มรู้สึกเบื่อ มันจะได้เวลาของการเริ่มซื้อหุ้น
25. S&L (saving and loan) เช่นกลุ่มธนาคาร ตัวเลขที่มีความสำคัญมากๆเช่น equity-to-assets ratio อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 7.5% ยิ่งสูงยิ่งดี ตัวต่อมาคือ เงินปันผล BV PBV < 1 ยิ่งดี เปอร์เซ็นหนี้เสียน้อยๆ เปอร์เซ็นการให้สินเชื่ออสังหาฯเชิงพาณิชย์น้อยๆ กล่าวคือ ต้องดูพอร์ตสินเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้สูญมากน้อยไหน
26. Lynch มักจะชอบกิจการที่ยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ เพราะเขามีความเชื่อว่ากิจการเหล่านี้มีความแข็งแกร่ง สามารถรอดพ้นสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยได้ และสามารถได้ market share เพิ่มจากกิจการอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ได้ล้มหายตายจากไป
27. หากทุกๆอย่างดูเหมือนกันหมดให้ทำการลงทุนในกิจการที่มีรูปสีปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีน้อยที่สุด
28. หุ้นศูนย์การค้าให้ดูพื้นที่เช่า ถ้าว่างมากไม่ดี และให้ดูการเซ็นสัญญาเช่าจริงๆเสียก่อน อย่าฟังแต่ข่าวว่าจะมาเช่า ให้ชัวร์ๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อก็ได้ แพงเพิ่มอีกหน่อย แต่มั่นใจดี
29. ปันผลของหุ้นก็ให้ดูความสม่ำเสมอและแนวโน้มควรจะปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น หุ้นปันผลดี สม่ำเสมอ มักจะเป็น defensive stock ถ้าราคาลงก็เป็นโอกาสซื้อที่ดี แต่ต้องเช็คให้รอบด้านก่อนซักนิดก่อนซื้อ ก็จะปลอดภัย
30. ไม่ว่าเงินปันผลจะดีแค่ไหน ราคาหุ้นก็จะไม่ค่อยดีนัก หากผลกำไรของบริษัทไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
31. นักลงทุนควรจะตรวจสอบหุ้นทุกตัวในพอร์ตของตัวเองทีละตัว และดูว่ามีเหตุผลอะไรหรือป่าวที่จะทำให้ปีหน้ามันดีกว่านี้ หากคุณหาเหตุผลไม่เจอ คำถามที่คุณควรจะถามต่อไปก็คือ ทำไมผมจึงยังถือหุ้นตัวนี้อยู่?
32. การที่บริษัท X ทำการซื้อกิจการทั้งบริษัทของบริษัท Y มา ถ้าบริษัท X ซื้อมาในราคาแพงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท Y บริษัท X จะต้องทำการบันทึก ค่าความนิยม (Goodwill) ในบัญชีสินทรัพย์ของตัวเองและทำการตัดจำหน่ายออกไปในจำนวนปีที่คิดว่าจะได้ประโยชน์จากค่าความนิยมนี้ ซึ่งต้นทุนค่าความนิยมนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทน้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น การดูงบกระแสเงินสดจะช่วยได้
33. ในบางกรณีบริษัทที่ทำธุรกิจโดยการกู้เงินมาลงทุนและต้องทำการจ่ายดอกเบี้ย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ กระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัทสามารถทำได้มีค่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากๆเช่น สามถึงสี่เท่า ให้มั่นใจได้เลยว่าบริษัทเจ๊งยาก และมั่นคงพอสมควร
34. หุ้นยานยนต์ ในช่วงขาลงจะสังเกตเห็นยอดขายรถจริงจะต่ำกว่ายอดประมาณการมาก และยอดขายจะตกมากกว่าปีก่อนแม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะดีก็ตาม แต่ในทางกลับกันในสภาวะที่เป็นขาขึ้นของกลุ่มยานยนต์ ยอดขายจริงจะกลับมาสูงกว่ายอดขายประมาณการมาก และขาขึ้นจะกินเวลาประมาณ 4-5 ปี ดังนั้นเราอย่าพึ่งขายหมู ให้พยายามตักตวงสภาวะขาขึ้นก่อน ในทางขาลงระยะเวลาก็จะประมาณสี่ถึงห้าปีเช่นกัน
35. หุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภค จะเป็นหุ้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในแง่ของการไม่ตายไปจากตลาดได้โดยง่าย เพราะมีภาครัฐเข้ามาช่วยดูแลป้องกันการล้มละลายอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะน่าสนใจลทุนในสภาวะที่กิจการอยู่ในช่วงยากลำบากและตลาดตกใจเทขายออกมา และสามารถทำกำไรได้อย่างงาม ช่วงเวลาที่ควรเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มนี้คือเมื่อบริษัทประกาศงดจ่ายเงินปันผลและให้ถือไปจนกระทั่งบริษัทประกาศจ่ายปันผล
36. การที่หุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่ผู้คนในตลาดคาดการณ์กันเอาไว้ได้ บริษัทจะต้องได้รับการประเมินจากผู้คนทั่วไปในระดับที่แย่กว่าความเป็นจริง มิฉะนั้นราคาหุ้นมันก็คงจะอยู่ในระดับสูงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเห็นทั่วๆปมันออกมาในเชิงลบมากกว่าความเห็นของคุณ คุณจะต้องตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวคุณเองมั่นใจว่าคุณไม่ได้มองโลกในแง่ดีแบบโง่ๆ
37. หุ้นที่สุดยอดแต่คนยังไม่เห็น ในที่สุดตลาดก็จะเริ่มมองเห็นว่าบริษัทนี้สามารถเติบโตในอัตรา 15-20% ต่อปีได้ ราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นจาก $16 ไปเป็น $ 42 ภายในหนึ่งปี กรณีนี้มันเป็นกรณีที่ความอดทนที่สะสมกันมานานหลายปี มันได้รับผลตอบแทนรวมอยู่ในปีเดียว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในตลาดหุ้น
38. เทคนิคในการเสาะหาหุ้นถูกภายในหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจที่มักได้ผลเสมอ คือ การเปรียบเทียบค่า P/E ของบริษัทต่างๆในกลุ่มเดียวกัน และดูตัวที่มีค่า P/E ต่ำสุดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมมันถูก ถ้าหาเหตุผลไม่เจอแสดงว่าคุณได้เจอของดีแล้ว
39. หุ้นเครือข่ายร้านอาหาร: บริษัทเครือข่ายร้านอาหารก็เหมือนกับบริษัทค้าปลีกที่จะสามารถเติบโตได้อีก 15-20 ปี แม้ว่าธุรกิจจะดูเหมือนเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงมาก แต่กิจการร้านอาหารจะแตกต่างจากกิจการในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์หรือกิจการรองเท้า ซึ่งมันอาจจะถูกกระทบจากการนำสินค้าราคาถูกจากจีนหรือเกาหลีได้ สิ่งที่จะแยกแยะระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของเครือข่ายร้านอาหาร ก็คือ ผู้บริหารที่มีความสามารถ เงินทุนที่เพียงพอ และการขยายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง การขยายงานในธุรกิจนี้จะต้องเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะต้องมีการ train พนักงาน การเลือกทำเลที่เหมาะสม ปัจจัยที่เราจะต้องจับตาดูสำหรับกิจการค้าปลีกก็คือ sales and sales growth, same-store sales growth ต้องเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส, D/E ต้องพอเหมาะ
40. หุ้นเครือข่ายร้านอาหารหรือค้าปลีก แม้ว่าจะมีค่า PE ทีสูงเป็น 30 เท่า แต่ก็เป็นหุ้นที่ควรค่าแก่การติดตาม
41. หุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่อยู่ในธุรกิจที่ถูกรุมล้อมไปด้วยข่าวร้ายสุดๆ สุดท้ายแล้วมันมักจะให้ผลตอบแทนสูงๆ
42. การปฏิเสธหุ้นตัวหนึ่งๆด้วยเหตุผลที่ว่า ราคาของมันได้เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าแล้ว สามเท่าแล้ว หรือแม้กระทั่งสี่เท่าแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ก็เป็นได้ ไม่ว่านักลงทุนนับล้านคนจะได้กำไรหรือขาดทุนจากหุ้น Chrysler เมื่อเดือนที่แล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเดือนถัดไปเลย ผมพยายามที่จะมองการลงทุนในแต่ละครั้งเหมือนกับว่าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมีประวัติการซื้อขายมาก่อนเลยในอดีต ผมจะใช้แนวคิด “พิจารณาที่ราคานี้” ซึ่งราคาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญ คือ ระดับราคาหุ้นในปัจจุบันที่ $21 – $ 22 มันถูกหรือมันแพง เมื่อเทียบกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทที่จะทำได้ที่ $5 – $7
43. หุ้นวัฏจักร: คุณไม่สามารถที่จะถือหุ้นวัฎจักรไว้ในลักษณะเดียวกันกับการถือหุ้นในบริษัทค้าปลีกในช่วงที่มันยังสามารถขยายงานอยู่ได้
ที่มา คุณ viim TVI
แนวคิดการลงทุนแบบดันโด (DHANDHO INVESTOR)
วันนี้้ขอเสนอแนวคิดแบบดันโด เป็นแนวคิดแบบ low risk high return
Mohnish Pabrai เป็นผู้เขียนครับ เป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า( V I ) บริหารกองทุน Pabrai Investment Funds กองทุนนี้สร้างผลตอบแทนแบบทบต้นปีละสูงกว่า 28% เป็นกลยุทธการลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูง เป็นการแตกแนวมาจากแนวของ warren buffet โดยมีรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไป เช่นทำงานประจำให้หนักๆ จะได้มีเงินออมมากๆ เพื่อเก็บไว้รอจังหวะที่เหมาะแล้วโป้งปิดบัญชีเลย
ไม่ได้ทะยอยซื้อนะครับ ซึ่งในทางปฎิบัติจะมีคนทำได้จริงน้อยมากๆๆ
credit ชุมนุมนักลงทุน SETTRADE
- ลงทุนในธุรกิจที่มีการดำเนินงานอยู่แล้ว
- ลงทุนในธุรกิจที่เรียบง่าย
- ลงทุนในธุรกิจที่มีปัญหาในอุตสาหกรรมซึ่งกำลังอยู่ในภาวะยากลำบาก
- ลงทุนในธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืน
- เดิมพันน้อยอย่าง เดิมพันหนักๆ ไม่เดิมพันบ่อยๆ
- มองหาโอกาสทำอาร์บิทราจ
- มีส่วนเผื่อเพี่อความปลอดภัยเสมอ
- ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำแต่มีความไม่แน่นอนสูง
- ลงทุนในพวกเลียนแบบ ไม่ใช่พวกสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
Mohnish Pabrai เป็นผู้เขียนครับ เป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า( V I ) บริหารกองทุน Pabrai Investment Funds กองทุนนี้สร้างผลตอบแทนแบบทบต้นปีละสูงกว่า 28% เป็นกลยุทธการลงทุนแบบมีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูง เป็นการแตกแนวมาจากแนวของ warren buffet โดยมีรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไป เช่นทำงานประจำให้หนักๆ จะได้มีเงินออมมากๆ เพื่อเก็บไว้รอจังหวะที่เหมาะแล้วโป้งปิดบัญชีเลย
ไม่ได้ทะยอยซื้อนะครับ ซึ่งในทางปฎิบัติจะมีคนทำได้จริงน้อยมากๆๆ
สิ่งสำคัญสามสิ่งที่ต้องจำไว้เสมอ
ตามลำดับความสำคัญในการเทรด
1.จิตวิทยาการลงทุน ความสำคัญ 60%
ต่อให้เก่งเทคนิคแค่ไหน แต่ใจไม่ทำตามแผน จิตใจสู้แรงของนายตลาดไม่ได้ก็ไม่รอดจร้า (อันนี้เจอกับตัว รู้นะ แต่ใจไม่ถึงสรุปไม่กำไร ขาดทุนไป กลายเป็นเจ๊ากลับที่ได้มา)
2.Money management ความสำคัญ 30%
ถ้าขาดการจัดการของเงินและฐานทุนในพอร์ทก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นพนัน เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเสียเท่าไหร เพราะได้นั้นไม่สำคัญเท่าเราจะยอมเสียเท่าไหร่ และต้องรักษาต้นทุนเดิมไว้ให้แน่น ไม่กำไรไม่ว่า แต่อย่างเิงินต้นลด น้องหยงบอกไว้เสมอ เริ่มต้นที่จะลงทันใครๆก็ต้องการกำไร แต่มักจะมีผู้ชนะไม่ถึง 10% ขอให้เราทำตามระบบ รักษาต้นทุนเดิมไว้แล้วค่อยๆเพิ่มฐานทุน แล้วประสบกร์ณในตลาดจะทำให้เราโตนั่นเอง เพราะเราต้องผ่านข้อแรกไปให้ได้ก่อน ดังนั้นการรักษาเงินต้นเอาไว้ให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่รอดในตลาดลงทุนได้ จะเป็น 10 % นั้นยาก แต่เป็นส่วนคนที่อยู่รอดนั้นก็ยาก แต่ทำได้จริงแท้ถ้าพึงรำลึกและทำตาม สามสิ่งนี้เสมอ
3.Technical Analysis
Take it simple. เอาระบบที่ง่ายที่สุด และเราเข้าใจมันมากที่สุด อย่าลืมว่ามันมีความสำคัญแค่ 10 % เท้านั้น
1.จิตวิทยาการลงทุน ความสำคัญ 60%
ต่อให้เก่งเทคนิคแค่ไหน แต่ใจไม่ทำตามแผน จิตใจสู้แรงของนายตลาดไม่ได้ก็ไม่รอดจร้า (อันนี้เจอกับตัว รู้นะ แต่ใจไม่ถึงสรุปไม่กำไร ขาดทุนไป กลายเป็นเจ๊ากลับที่ได้มา)
2.Money management ความสำคัญ 30%
ถ้าขาดการจัดการของเงินและฐานทุนในพอร์ทก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นพนัน เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเสียเท่าไหร เพราะได้นั้นไม่สำคัญเท่าเราจะยอมเสียเท่าไหร่ และต้องรักษาต้นทุนเดิมไว้ให้แน่น ไม่กำไรไม่ว่า แต่อย่างเิงินต้นลด น้องหยงบอกไว้เสมอ เริ่มต้นที่จะลงทันใครๆก็ต้องการกำไร แต่มักจะมีผู้ชนะไม่ถึง 10% ขอให้เราทำตามระบบ รักษาต้นทุนเดิมไว้แล้วค่อยๆเพิ่มฐานทุน แล้วประสบกร์ณในตลาดจะทำให้เราโตนั่นเอง เพราะเราต้องผ่านข้อแรกไปให้ได้ก่อน ดังนั้นการรักษาเงินต้นเอาไว้ให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่รอดในตลาดลงทุนได้ จะเป็น 10 % นั้นยาก แต่เป็นส่วนคนที่อยู่รอดนั้นก็ยาก แต่ทำได้จริงแท้ถ้าพึงรำลึกและทำตาม สามสิ่งนี้เสมอ
3.Technical Analysis
Take it simple. เอาระบบที่ง่ายที่สุด และเราเข้าใจมันมากที่สุด อย่าลืมว่ามันมีความสำคัญแค่ 10 % เท้านั้น
วันแรกของการบันทึก
เนื่่องมาจากการเข้าไปอ่านบทความต่างๆในเวปไซด์โน่นนี่่นั่น และมักจะเซฟไว้ก่อนค่อยอ่าน เพราะเป็นคนจำพวกอ่านหนังสือช้า สมาธิสั้น นั่งนานไม่ได้(มันหลับ)และเมื่อยเนื้อตัวปวดแขน ไหล่ ข้อมือ อืม เยอะนะ และที่สำคัญชอบอ่านบนกระดาษมากกว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมถึงพวกแท๊ปเล็ตต่างๆด้วย ทำให้เกิดการเซฟไว้ก่อนจนลืมไปละว่าเซฟไว้ไหน สุดท้ายไม่ได้อ่าน พอเจอคนมาโพสในเรื่องเดิมก็จำได้ว่าคุ้นๆว่ามี แต่หาไม่เจอ จนไปเจอกระทู้นึงประมาณว่าจำได้ไม่แม่นนะ ลุงนวดสอนเล่นTFEX แนะนำให้ทำบล็อคไว้เพื่อเป็นสมุดบันทึกเพราะว่าเราสามารถเก็บไว้ดูคนเดียวได้ และจะได้เก็บบทความที่เราชอบไว้ รวมถึงบันทึกอารมณ์ต่างๆในการลงทุนและแนวคิดของเราณ.วันที่เขียน ถ้าย้อนกลับมาอ่านในวันนหน้าจะได้รู้ว่าตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่ เพราะเวลาเปลี่ยน คนเราเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน ตลอดเวลา ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป
เข้ามาสมัครบล็อคก็งง ใช้ไม่เป็นเลย ไม่เคยเลยจะมีกับเค้ามีแต่ชื่นชมคนที่มี ในที่สุดเราก็ตัดสินใจมีซักที ลองดูว่าจะมีวินัยได้ซักแค่ไหน
เราไม่ค่อยรุ่งในทุกเรื่อง เพราะขาดวินัยและอดทน ซึ่งเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของทุกสิ่ง แต่เราจะพยายามต่อไป จะคิดแบบว่าทำไมได้มาเป็นลองทำดู และต่อไปก็ต้องทำได้ จะไม่ปฎิเสธก่อน พยายามทีละนิด ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ บางครั้งสิ่งที่กำลังทำอาจจะช่วยเราบำบัดอะไรได้มากกว่าที่เราคิดนะ
สวัสดีบล็อคของฉัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)