วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพุทธที่ 13/6/2555 กลับมาแล้ว หายไปหลายวัน




ช่วงที่ผ่านมาตลาดเหวี่ยงขึ้นลงในกรอบเล็กๆ วันนี้จะเริ่่มเก็บสะสมความรู้จากเพื่อนๆใน FB แล้วมาศึกษาหาแนวทางของตัวเอง เพราะเงินของเรา เราต้องดูแลเอง ความรู้และแนวคิดจากคนอื่นเป็นเหมือนที่ปรึกษาจากกลายๆคน แต่สุดท้ายเราต้องตัดสินใจเอง ^__^


อันนี้ credit: WiZard kit น้องพรี์ 13/6/2555

อันหุ้นไทย...ขนานนาม...ว่าอินดี้
ชอบไล่บี้...ขึ้นกระหน่ำ...ไร้เหตุหมาย
บางทีก็...ทุบเลือดสาด...ให้วอดวาย
ไร้ซึ่งคำ...อธิบาย...ยากจริงจริง

บางวันดี...บวกเป็นสิบ...พื้นฐานเยี่ยม
บ้างก็เหี้ยม...ทุบกบาล...ขาดทุนหลาย
เดี๋ยวก็กรีซ...กูอยากกรี๊ด...ให้กระจาย
นี่อาเซียน..น่ะไม่ใช่...ยูโรโซน

เจอขุนกอง...กองทัพป๊อบ...ออกญาหรั่ง
ย่อยไทยนั้น...เลือกไม่ถูก...ตามกลุ่มไหน
โดนตียับ...กระหน่ำแทง...แถมขืนใจ
แถมโดนไล่...เป็นตะพุ่น...เลี้ยงช้างเอย

แต่อย่าคิด...ว่าย่อยไทย...จะไร้ทิศ
พร้อมพิชิต...มีเครื่องมือ...เทรดมันส์หนา
แดงเข้าซื้อ..เขียวก็ขาย...สบายครา
ดั่งรถเหาะ...ใครพลาดท่า...อนาถเอย

...ตลาดหุ้นวันนี้...เหมือนจะยืนอยู่ จะปิดเขียวได้...ก็อินดี้ไม่ยอมเขียว...แถมเจอกลุ่ม "4 โมงทุบ" เอาเต็มๆ ดีที่ยังแกร่งยืนเหนือ 1155 จุดได้อย่างหวาดเสียว แหะแหะ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มารู้จัดค่าเบต้า จากเวป ไทยเสป็กคูเรเตอร์



http://www.thaispeculator.com/technical-analysis/stock-beta.html

มารู้จักค่าเบต้ากันเถอะ 
ค่าเบต้า คือ ค่าสัมประสิทธ์ตัวเปรียบเทียบระหว่างหุ้นตัวใดตัวหนึ่งกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ว่ามีแนวโน้มอย่างไร ซึ่งมีที่มาจากสมการเส้นตรง

y = a + bx

เมื่อ
y คือ ราคาหุ้น
x คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
a คือ ค่าอัลฟ่า (alpha)
b คือ ค่าเบต้า (beta)

ซึ่งจากสมการจะได้ว่า
ถ้าค่าเบต้าของหุ้นตัวนั้น = 1 หุ้นตัวนั้นจะขึ้น/ลงเป็นปฏิภาคโดยตรงกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ถ้าค่าเบต้าของหุ้นตัวนั้น > 1 หุ้นตัวนั้นจะขึ้น/ลงเร็วกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ถ้าค่าเบต้าของหุ้นตัวนั้น < 1 หุ้นตัวนั้นจะขึ้น/ลงช้ากว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ถ้าค่าเบต้าของหุ้นตัวนั้น < 0 หุ้นตัวนั้นจะขึ้น/ลงเป็นปฏิภาคผกผันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์

โดยปกติแล้วนักเก็งกำไรมักนิยมเล่นหุ้นที่มีค่าเบต้าสูงกว่า 1 เพราะว่าเมื่อดัชนีตลาดขึ้น หุ้นเหล่านี้จะขึ้นได้มากกว่าตลาด ตามหลักกาที่ว่าผลตอบแทนสูง จะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย (High Risk, High Return) เพราะเมื่อดัชนีตลาดมีทิศทางขาลง หุ้นเหล่านี้ก็จะลงมากกว่าตลาดเช่นกัน

ค่าเบต้าของหุ้นแต่ละตัวจะไม่เสถียร (Unstable) และเปลี่ยนแปลงตลอด หุ้นที่มีค่าเบต้าสูงในระยะเวลาหนึ่งอาจเป็นหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำในเวลาต่อมา ดังนั้นหากนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรสามารถหาหุ้นที่ปัจจุบันมีค่าเบต้าที่ต่ำกว่า 1 ในขณะที่ตลาดกำลังซบเซา และค่าเบต้าของหุ้นนี้มีค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เมื่อตลาดฟื้นตัวหรือเป็นตลาดกระทิงแล้วก็จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำแต่มีผลตอบแทนสูง

ในส่วนของค่าอัลฟ่านั้น นักลงทุนควรจะเลือกหุ้นที่มีค่าอัลฟ่าเป็นบวกคือ ในวันที่ตลาดนิ่งๆไม่ไปไหน หุ้นที่มีค่าอัลฟ่าเป็นบวกก็จะสามารถลอยตัวหรือมีค่าเป็นบวกได้ ในขณะที่หุ้นที่มีค่าอัลฟ่าเป็นลบอาจจะมีราคาติดลบได้ ถึงแม้ตลาดไม่มีการเคลื่อนไหว

โดยการหาค่าเบต้านั้นอาจจะสามารถหาได้โดย
1. อ่านจากหนังสือพิมพ์ หรือไปดูที่ข้อมูลจาก SET ได้
2. คำนวณเอง ให้คำนวณจากการทำ regression ระหว่าง ผลตอบแทนหุ้น (อ้างอิงจากราคาหุ้น เป็นตัวแปรตาม) และ ผลตอบแทนตลาด (อ้างอิงจากดัชนีตลาด เป็นตัวแปรอิสระ) โดยใช้ราคาปิดแต่ละวันมาเป็นฐานคำนวณก้อได้ แต่ปัญหาคือ จะใช้จำนวนข้อมูลมากแค่ไหน 1 ปี 5 ปี 10 ปี แล้วแต่วิจารณญาณนะครับ

สุดท้ายนี้จะขอยกกลยุทธ์การลงทุนโดยใช้ค่าเบต้า โดยคุณวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล จาก บล.ทรินีตี้ มาลงไว้ที่นี้


ในภาวะที่เศรษฐกิจผันผวนและการเมืองไม่แน่นอน เราควรเลือกกลุ่มหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำ เพื่อลดความผันผวน แต่ถ้าเศรษฐกิจเป็นขาขึ้นแล้วนั้น การใช้กลยุทธ์เลือกหุ้นเบต้าสูงจะให้ผลตอบแทนที่เร็วกว่า เราสามารถสรุปการใช้กลยุทธ์ ดังนี้

หนึ่ง โดยปกติหุ้นกลุ่มวัฏจักร สถาบันการเงินและกลุ่มที่ดินจะเป็นหุ้นกลุ่มที่มีค่าเบต้าสูงในขณะที่หุ้น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มสาธารณูปโภคจะเป็นหุ้นกลุ่มเบต้าต่ำ

สอง ถ้านักลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นน่าจะเป็นขาขึ้น และเศรษฐกิจสดใส ดอกเบี้ยเริ่มชะลอตัวลง ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีค่าเบต้าสูง ในขณะที่หากนักลงทุนคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นน่าจะเป็นขาลง กลยุทธ์การลงทุนคือการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำใน Portfolio ให้มากขึ้น หรืออาจจะเป็นเงินสดก็ได้

สาม หุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำ จะมีลักษณะมีเงินปันผลสูง มีขนาดราคาตลาดของหุ้น (Market Capitalization) สูง และมีสินทรัพย์ที่มั่นคง ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่มีเงินปันผลน้อย มีขนาดราคาตลาดของหุ้น (Market Capitalization) ต่ำ จะมีค่าเบต้าสูง

สี่ ค่าเบต้าของหุ้นแต่ละตัวจะไม่เสถียร (Unstable) และเปลี่ยนแปลงตลอด หุ้นที่มีค่าเบต้าสูงในระยะเวลาหนึ่งอาจเป็นหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำในเวลาถัด ไป โดยปกติ ค่าเบต้ามีแนวโน้มสู่ศูนย์กลาง เพราะค่าเบต้าของหุ้นกลุ่มไหนสูงกว่า 1 มากๆ ตลาดที่มีประสิทธิภาพจะเป็นตัวปรับค่าเบต้านั้นลงมาเอง

ห้า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเบต้า คือ ผลประกอบการ การคาดหวัง และการตอบสนองของนักลงทุนต่อหุ้นนั้นๆ

กล่าวโดยสรุป กลยุทธ์การลงทุนโดยใช้ค่าเบต้าเป็นตัววัด จะให้ผลตอบแทนสูง ถ้าเราสามารถอ่านทิศทางของตลาดได้อย่างถูกต้อ

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Should You Use Technical Indicators? บทความดีๆ


Should You Use Technical Indicators?


Are technical indicators worth using? Which ones should I use? Is there one indicator that is better than another? MACD? Stochastics? RSI? Stop the madness! The only thing you need is an understanding of price action.

If you are new to trading stocks you will do yourself a great disservice by trying to use technical indicators to trade stocks. You are far better off by first learning to trade stocks based on price action alone. So put away your OBV, CCI, and PPO for now and just focus on the chart.
Leading And Lagging Indicators


Technical indicators are generally classified into two categories: Leading Indicators and Lagging Indicators. Leading indicators like stochastics are supposed to lead the price action. Lagging indicators like moving averages follow price action.

This is what they are supposed to do but in reality all technical indicators are lagging indicators because they cannot draw on a chart until after the price action has already been established.

Remember that all technical indicators are generated by using the high, low, open, close, or volume of a stock. It gets this information from the price action in the stock first, then it shows up on your chart as RSI, MACD, etc. Therefore, these indicators can never tell you anything more than what the chart is already saying!

Using technical indicators is like using binoculars at a rock concert when you are in the front row! Why would you do that? Put the binoculars down and just look at the stage! It is the same thing with charts. Just look at the price action.
Learn How To Interpret Price First

Ok, now that you know the truth about technical indicators, you can finally relax. You can stop looking for the perfect indicators to solve all your trading problems. So what should you look for on a chart? Good question! The main thing that you are trying to figure out on a chart is the psychology of other traders.

You are trying to figure out where they are going to buy and where they are going to sell. You are trying to get into their heads! You want to know if they are excited, nervous, scared, or uninterested.

Every stock, in every time frame, alternates between these four emotional extremes. A stock breaks out of a consolidation (excited), momentum slows down (nervous), traders begin to sell (scared), the selling finishes and there is indecision (uninterested). This cycle repeats over and over again.

As a trader you look at price to find the point at which one emotional state is about to evolve into another. Candlestick patterns are useful to determine these turning points. They will give you these signals far in advance of any technical indicator!
Using Technical Indicators The Right Way

You still want to use indicators in your trading? That's fine, just use them the right way - to indicate! If you like using RSI then use it to tell you that a turning point may be coming. Then just forget about it and focus solely on the price action in the stock.

Too often I see traders buying stocks just because and indicator is overbought or oversold. A stock can become overbought or oversold for a very long time. In the meantime you have a position in the stock and you are losing money!

Look for divergences. If there is one thing that technical indicators can be useful for is the ability to identify those times when price is at odds with the indicator. This can signal that a turning point may be coming. As always look at the candles (price) for validation.

Use the right indicator for the job. For analyzing trends using trend following indicators like moving averages. For trading ranges, use oscillators like RSI.

Remember that you do not need any kind of indicator to trade stocks and you certainly should not be using them until you have a full understanding of how to interpret the price action. Even then you may opt to never use them in your trading. I don't use any on my charts.
Practice Makes Perfect

Print out 20 charts of random stocks. Do not put one technical indicator on the chart! Don't even put moving averages or volume on it. Now find a quite spot in your favorite chair, fire up a nice premium cigar, and just look at the candles.

Look for support and resistance, trend lines, and emotional extremes. Take a piece of paper and cover up the "hard right edge" and try to get into the heads of these traders. Can you feel what they are feeling? More importantly, can you anticipate what will come next?

It has been said that "technical indicators are for novice traders who do not know how to interpret price".

I would have to agree with that.http://www.swing-trade-stocks.com/technical-indicators.html

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันศุกร์ที่ 1/6/55


ครึ่งเช้า 01/06/55 ต่างชาติขาย -700 ล้านบาท




วันที่ 4/6/55 กับพี่เปี๊ยก



Nattawat Onratn 4/6/55

ช่วงการลงทุนใตลาดหุ้น โดยเฉพาะในตลาดขาลง

สติ สำคัญที่สุด ที่ผ่านมา 2-3 สัปดาห์ จะเป็นบทเรียนสำคัญ

ที่ท่านต้องจดเอาไว้ การขาดสติ ทำให้ เราขาดทุนได้

การจะควบคุม สติ ให้ได้ ท่านต้องไม่ใส่เงิน มากเกินไป

ท่านควรจะ วางกลยุทธ์ในการเล่นให้ถูก คือ

ถ้าเราเลือกจะเป็นฝ่ายซื้อ พอรับหุ้นได้ในราคาถูก

เมื่อ Rebound ท่านจำเป็นต้องขาย

ถ้าท่านไม่ขาย คนส่วนใหญ่ ในตลาดก็ขาย

การ ทำ Short หรือ SBL ถ้าทำไม่ ถูกตัว ไม่ถูกจังหวะ

ก็อาจจะ ขาดทุนได้ เช่นกัน

การค่อยๆ ทดสอบ และ ตามหาจุดต่ำสุด ว่าอยู่ตรงไหน

เป็นสิ่งที่ ท่านควรทำ เมื่อเจอแล้ว จึงค่อยใส่เงินส่วนใหญ่ลงไป

ท่าน อย่ากลัวเกิน เหตุ หุ้นมีลง ก็ ต้องมีขึ้น

พรุ่งนี้(อังคาร 5/6/55) 1100 จะเป็น จุดรับ ที่สำคัญ ถ้าไม่หลุด

แปลว่า จุดต่ำสุด ได้ ผ่านไปแล้ว


ถ้าหลุด ก็ แปลว่า เราจะต้องตามหา จุดต่ำสุดของรอบ ต่อไป

เราไม่ต้องตั้ง Bid ให้รายใหญ่ เขาทำให้เราดู เราจะนั่งดู ในวันพรุ่งนี้

ท่าน ที่เพิ่งเคย อ่าน ความเห็นของผม อย่าเพิ่งตกใจ เพราะผมจะหาจังหวะซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ตอนลง

ผมไม่เคยกลัว ขาลงพอตลาดหุ้น ขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว ผมจะค่อยๆ ขาย

ดังนั้น ตอนตลาด มีแต่ ข่าวร้าย ผมจะใช้สมาธิ หาจังหวะเข้าซื้อ มากกว่า เพราะถือว่า การขาย ได้จบไปแล้ว


จุดแต่ละจุด ที่เป็นแนวรับ ผมจะเฝ้าดู ถ้าใช้ได้ ผมจะออก ราคาแนวรับให้

ผมจะไม่คาดการณ์ว่า SET จะลงไปแค่ไหน เพราะ ผมคิดว่า ไม่จำเป็น

พี่เปี๊ยกครับ ถ้าเราติดหุ้นอยู่แล้วขาดทุนค่อนข้างมาก แต่ราคาหุ้นมีขึ้นๆลงๆ เราควรขายไปส่วนหนึ่งในราคาที่สูงแล้วรับกลับในราคาที่ต่ำในจำนวนหุ้นที่เท่ากับตอนขาย. ดีมั้ยครับ เพราะถ้ารอให้กลับไปสูงเหมือนก่อน ก็ยากเหลือเกิน มันจะช่วยให้เรามีกำไรเพื่อทดแทนการขาดทุน ผมคิดแบบนี้มันถูกมั้ยครับ รบกวนชี้แนะ

ตอบว่า ถ้าทำได้ ก็จะดีมากคับ จะได้ไม่อึดอัด

ประมาณที่1,100 เข้าเก็บไว้บางส่วน เเล้วรอดูว่าจะไปยังต่อ ถ้าลงต่อก็รอเเนวรับใหม่เเล้วเข้าซื้อเพิ่มอย่างนี้ถูกต้องมั้ยตอบว่า ถูกคับ เพียงแต่ว่า รับได้ของถูก แล้วมีกำไร ให้ขายออกมาก่อนคับ ทำไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่า ต่ำสุดแล้ว ค่อยเข้าเต็มพอร์ต คับ

ในสถานการณืแบบนี้การเลือกกลุ่ม จำเป็นมากน้อยแค่ไหน ทำไมมีแต่คนบอกให้เลี่ยงพลังงาน แต่ส่วนตัวคิดว่าทยอยเก็บได้ แต่เริ่มหวั่นไหวค่ะ กลัวจะเก็บอยู่คนเดียว

ตอบว่า ซื้อหุ้น ตอนที่ไม่มีคนสนใจ ถูกแล้วคับ เพียงแต่ว่า การทยอยซื้อสะสม ต้องมีหลักบ้าง อย่าซื้อไปเรื่อยๆ

อย่าตั้งตน อยู่ในความประมาท แค่นั้นก็พอ

หุ้นตัวไหน ที่เราคุ้นเคย หรือ เล่นอยู่แล้ว ก็ ตัวนั้นแหละคับ เป็นเป้าหมาย ในรอบนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหน

Nattawat Onratn ความไม่ประมาท หมายถึง การมีสติ ระลึกได้อยู่ว่า ปัจจุบันตนเองกระทำอะไรอยู่ ทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร ทำในสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ รวมทั้งความรอบคอบ ระมัดระวังในสิ่งที่กระทำอยู่ให้เป็นไปในทางที่ควรอยู่เสมอ

ซึ่งตรงกันข้ามกับความประมาท คือ ความชะล่าใจ การขาดความระมัดระวัง การไม่ทำความดีติดต่อกัน จึงมักกล่าวกันว่า “ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย”

พระพุทธเจ้าทรงเห็นภัยแห่งความประมาทนี้ จึงได้ชี้ทางอันเป็นมงคลชีวิตที่สำคัญ คือ ความไม่ประมาทอันทำให้บุคคลรู้และระลึกได้ ถึงสิ่งที่ควรกระทำของตน เพื่อความสุขแห่งตนดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย เล่ม ๒๕ หน้า ๑๖ ว่า…

“ความไม่ประมาทเป็นทางเครื่องถึงอมตนิพพาน

ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย....

ชนเหล่าใดประมาทแล้ว ย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว

บัณฑิตทั้งหลาย ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ... หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้

ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความหมั่น มีสติมีการงานที่สะอาด

ผู้ใคร่ครวญแล้วจึงทำ ผู้สร้างระวัง ผู้สำรวมระวัง ผู้เป็นอยู่โดยธรรม และผู้ไม่ประมาท”

Sir John Templeton ปรมาจารย์แห่ง contrarian บอกว่า นักลงทุนควรจะเป็น contrarian ก็ต่อเมื่อตลาดมองโลกแง่ร้ายเกินไป จะเรียกว่าเป็นช่วงที่คนในตลาดกลัว “สุดขีด” ก็ได้ ที่สำคัญการจะเข้าไปเก็บของถูก ท่านอาจจะรอให้พวกที่เรียกว่า contrarian ตัวปลอม ตายหมดก่อนก็ได้ จึงค่อยลุกขึ้นมาเป็น contrarian ตัวจริง

เทรด Tfex อย่างไรให้หมดตัว Credit Surapat

Trade TFEX อย่างไรให้หมดตัวเร็ว : https://www.facebook.com/surapat.sukampeeranont

ในห้องนี้คงมีคน Trade TFEX กันอยู่บ้าง ด้วยเหตุผลต่างกันไป บางคนใช้เป็นเครื่องมือในการ Hedging Port การลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับฐาน หรือบางคนใช้เป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรเพราะเชื่อว่า TFEX ให้ผลตอบแทนสูงและเร็วกว่าหุ้น แม้เหตุผลต่างกันแต่เชื่อว่าคงไม่มีใครมีเป้าหมายหรือต้องการหมดตัวจากการ Trade TFEX ใช่มั้ยครับ งั้นผมลองนำมุมมองที่รับรู้มาจากคนที่ Trade TFEX จนขาดทุนหมดตัวดูบ้างว่ามีสาเหตุมาจากอะไร เผื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่กำลังมีพฤติกรรมหรือความเชื่อในลักษณะนี้อยู่ครับ

1. Trade TFEX เพราะเชื่อว่าให้กำไรเร็วและแรง : ถูกครับ TFEX มีโอกาสให้กำไรเร็วกว่าหุ้น เพราะราคาของ TFEX เคลื่อนไหวไปตามดัชนีของสินค้าอ้างอิง (เช่น SET50, Gold Spot) แต่สิ่งที่ทำให้เกิดกำไรหรือขาดทุนเร็ว คืออัตราทด (Leverage) นั่นเอง ทีนี้คน trade TFEX มักใช้ Leverage อย่างเต็มที่ด้วยการวางเงิน Margin น้อยเกินไป เช่น 1 สัญญาวางเพียง 1 แสนบาท ซึ่งเป็นการใช้ Leverage ที่สูงมากโดยไม่รู้ตัว เพราะกลับกันหาก SET50 ขยับตรงข้ามกับ position ที่เราถือไว้ 10 จุด นั่นหมายถึงเราจะขาดทุนไป 10 x 1,000 = 10,000 บาทจาก 100,000 หรือคิดเป็น 10% ซึ่งจากสถิติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การแกว่งของ SET50 ใน 1 วันโดยเฉลี่ยมีมากกว่า 10 จุด และสูงสุดมีถึง 80 จุด ต่อวัน ดังนั้นด้วยการแกว่งตัวที่แรงในบางวัน อาจทำให้คนที่วางเงินน้อยเกินไปมีโอกาสโดย Force Close สูงครับ

2. Trade TFEX โดยใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์เป็นตัวตั้ง : คนส่วนใหญ่ Trade TFEX โดยขาดหลักการหรือ Model ในการเปิด/ปิดสัญญาที่ชัดเจนมีแบบแผน แต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกเป็นตัวตั้งโดยเชื่อมั่นว่าตนเองอยู่ในคนกลุ่มน้อยที่สามารถชนะตลาดได้ แต่แท้จริงแล้วการ Trade ลักษณะนั้นแทบจะไม่มีโอกาสเอาชนะการแกว่งของราคาที่มีอิทธิพลมาจากคนส่วนใหญ่เป็นผู้กำหนดได้เลย และเมื่อตลาด Panic ไปอีกทางที่คาดไว้ มักจะเสียการควบคุมและทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้ในภายหลัง น้อยคนมากที่จะ Trade TFEX ด้วยความรู้สึกหรือการเดาแล้วสามารถทำกำไรอย่างสม่ำเสมอได้ในระยะยาวครับ

3. Trade TFEX โดยขาดวินัยหรือไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด : อันนี้ต่อจากข้อ 2 คือ แม้คนที่มีระบบในการ Trade หรือแผนการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ชัดเจนแล้ว แต่เอาเข้าจริง ๆ ไม่ยอมทำตามที่สัญญาณซื้อ-ขายที่ได้จากระบบหรือแผนจากการวิเคราะห์นั้น และมักต่อรองกับตัวเองอยู่เสมอไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนทำให้ระบบหรือแผนที่วางไว้ไม่มีความหมายต่อการช่วยลงทุนเลย นิสัยข้อนี้แสดงถึงความไม่มีวินัยของผู้ลงทุน ซึ่งนอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการ Trade TFEX แล้ว ยังเป็นคุณสมบัติขัดขวางความสำเร็จอีกหลายเรื่องของชีวิตเช่นกันครับ

4. Trade TFEX โดยไม่มี Stop Loss : เมื่อเล่นผิดทาง จนเกิดการขาดทุนเรื่อย ๆ หลายคนเลือกที่จะปลอบใจตัวเองด้วยการเปิดสัญญาอีก Series นึงในลักษณะ Spread เพื่อ Lock การขาดทุนไว้ เพียงเพื่อจะได้เห็นเลขกำไรจากอีก Serie นึงให้สบายใจ และหวังว่าจะปิดทำกำไรได้ทั้ง 2 Series ในภายหลัง แต่จากประสบการณ์ที่เห็นคนส่วนใหญ่ทำมา พบว่ามีโอกาสน้อยที่จะแกะทั้ง 2 Series ให้หลุดโดยได้กำไรทั้ง 2 Series และมักพบว่าเมื่อปิด Serie ที่กำไรไปแล้ว กลับปล่อยให้อีก Serie กลับขาดทุนสะสมต่อเนื่องไปอีก จนควบคุมการขาดทุนไม่ได้อยู่ดี ซึ่งแท้จริงแล้วการขาดทุนได้เกิดการรับรู้ตั้งแต่ตอนที่เปิด Spread อีก Seriesแล้วนั่นเอง

5. มักใช้กลยุทธ์การไล่ราคาหรือช้อนซื้อดักขายกับ TFEX : กลยุทธ์นี้ทำให้หลายคนพังกับ TFEX มาเยอะ โดยเฉพาะตอนที่ราคาหลุดจากแนวรับ/แนวต้านสำคัญ TFEX มักขยับราคาเร็วและแรง จนบางครั้งล้ำไปกว่ามูลค่าของ Underlying Asset ไปเยอะมาก ซึ่งคนที่ Trade TFEX แบบขาดวินัยจะเกิดความโลภทำการไล่ราคาด้วยการเปิดสัญญาเพิ่มมากขึ้นจนความเสี่ยงของ port สูงเกินไป และโดยธรรมชาติของ TFEX เมื่อราคา TFEX ล้ำหน้า Underlying Asset ไปเยอะมักมีการหดกลับเข้าสู่ราคาที่ควรจะเป็น ทำให้ผู้เปิดสัญญา TFEX มากกว่าปกติ ณ จุดที่มีการไล่ราคาเกิดการขาดทุนอย่างรวดเร็ว ซึ่งแม้ว่าจะเล่นไปตาม Trend แต่เมื่อเห็นตัวเลขขาดทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในตอนที่ราคา TFEX สวนกลับ จะเกิดความกลัวจนรีบปิดสัญญาเพราะกลัวขาดทุนเพิ่ม ทำให้แผนการลงทุนที่วางไว้รวนเรไปหมด กำไรที่ควรได้จากรอบการลงทุนนั้นไม่เป็นไปตามที่ควรจะได้รับ ซึ่งหากกลยุทธ์เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ ครั้ง โอกาสที่จะกำไรสม่ำเสมอย่อมน้อยลง

6. Trade หุ้นแล้วยังไม่เคยทำกำไรได้สม่ำเสมอ เลยลองเปลี่ยนมา Trade TFEX เพราะเชื่อว่ากำไรได้เร็วกว่าและน่าจะเอากำไรนี้มาชดเชยหุ้นที่ขาดทุนไปได้ : อันนี้คล้ายข้อ 1 น่ะครับ ซึ่งอยากให้ระลึกไว้ว่า TFEX มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้น เพราะเนื่องจากผู้ Trade มักใช้ Leverage ของตัวมันเอง จากที่พบเจอคนที่ Trade หุ้นแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ มักจะ Trade TFEX แล้วมีโอกาสล้มเหลวเช่นเดียวกันและรวดเร็วกว่า เนื่องจากยังคงวิธีคิดหรือการกระทำที่ผิดพลาดเหมือนเดิมแม้จะเปลี่ยนกระดานในการเล่น ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่แตกต่างครับ


เบื้องต้นแค่ 6 ข้อนี้ก่อน หากใครมีพฤติกรรมอย่างที่ว่าแม้เพียงข้อเดียว ควรหยุดการ Trade TFEX ชั่วคราว เพราะหนทางที่จะร่ำรวยจากตลาด TFEX ดูจะริบหรี่ลงแต่หนทางไปสู่การหมดตัวจะเริ่มชัดเจนขึ้น แนะว่าลองสำรวจหาวิธีการในการแก้ไขเพื่อปิดจุดอ่อนเหล่านี้ก่อนที่จะหมดตัวในเวลาอันสั้นและต้องออกจากตลาดไปนะครับ ตลาด TFEX มักลงโทษนักลงทุนที่ขาดประสิทธิภาพ แต่มักให้รางวัลกับคนที่มีวินัยและแบบแผนการลงทุนที่ชัดเจน หากใครมีประสบการณ์ในมุมมืดของ TFEX สามารถแนะนำกันเข้ามาเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอื่นได้นะครับ ^^


ขอบคุณค่ะ มีสบการณ์ค่ะ....เห็นด้วยมากๆค่ะ สิ่งสำคัญไม่ว่าตลาดหุ้น หรือ TFEX นอกจากความรู้ต่างๆ ที่เราได้ศึกษา อบรม หรือสั่งสมมา สิ่งสำคัญที่น่าจะทำให้อยู่รอดได้ในตลาดนี้ คือ "สติ" เพราะตลาดนี้มีคนอยู่ 2 ประเภทค่ะ 1 คือคนที่โลภ 2 คือคนที่กลัว อ้อแล้วมีอีกคน 3 คือคนที่มีทั้งความโลภและความกลัว จนทำให้เราลืมใช้สติ ตั้งมั่นกับสิ่งที่เราได้ คิดดีแล้ว วิเคราะห์ดีแล้ว ก่อนตัดสินใจหรือทำตามกลยุทธ์ที่ได้วางแผนไว้ทุกครั้ง...เมื่อโดนภาวะอารมณ์ของตลาดเข้าครอบงำ มักจะลืมแผนการที่วางไว้ และตัดสินใจด้วยอารมณ์ตามเคย สุดท้ายกลับมาหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนการกระทำของตนเป็นการปลอบใจในสิ่งผิดพลาดของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็สายเสียแล้ว...ดังนั้น หากใครลงทุนแล้วขาดทุน หรือผิดพลาดซ้ำๆ ขอให้คุณหยุด และถอยออกมาคิดทบทวนโดยใช้สติให้ดีเสียก่อน เมื่อคิดดีแล้ว ตัดสินใจดีแล้ว...ค่อยลงมือปฎิบัติอย่างมีวินัยอีกครั้งและพิสูจน์กลยุทธ์ของคุณด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อยก่อน หากกลยุทธ์ของคุณ+วินัย สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้จริง คุณค่อยเพิ่มเงินลงทุนก็ยังไม่สาย เพราะตลาดทุนนี้ไม่ได้หนีไปไหน แถมกว้างไกลไปทั่วโลก วิชาหาปลานั้นก็อยู่ติดตัวคุณไปตลอดเช่นกัน.... เพราะหากใครคิดว่าจะรวยเร็วจากตลาดนี้ นั่นคือคุณเป็นคนประเภทที่ 1 เข้าแล้ว (คือมีความโลภ) ถ้ามันง่าย และทำได้ทุกคน ป่านนี้หลายๆ คนคงลาออกและมานั่งเทรดหุ้น อนุพันธ์ อยู่กับบ้านเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีกันหมดแล้ว เชื่อสิคะ เหนือสิ่งอื่นใดที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าในตลาดทุน ตลาดเงิน หรือการทำธุริจใดๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญ คือคุณได้เอาใจใส่กับมันจริงๆ แล้วหรือยัง มีสติ ฝึกฝน พัฒนา เรียนรู้ข้อผิดพลาด และแก้ไขปรับปรุงอยู่เสมอ คุณได้ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุดแล้วหรือยัง เพราะกว่าที่ใครหลายๆ คนจะประสบความสำเร็จ และยืนอย่างสง่างาม คุณเคยแอบมองดูเบื้องหลังความสำเร็จที่กว่าจะมาถึงวันนี้ของพวกเค้าแล้วหรือยัง....สำหรับใครที่เข้ามาในตลาดนี้แล้ว ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดี ไปจนถึงเลวร้าย และกลับมาตั้งสติคิดได้ อยากบอกว่าคุณโชคดีมาก เพราะคุณจะเหลือโอกาสในส่วนน้อยไว้สำหรับความล้มเหลวในภายหน้า...ส่วนใครที่เข้ามาแล้วประสบความสำเร็จเลยในทันทีอย่างง่ายดาย อยากบอกว่าคุณช่างโชคร้ายเหลือเกิน....เพราะคุณยังมีโอกาสเป็นส่วนมากที่อาจจะพลาดท่าเข้าได้สักวันในอนาคต...ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่