วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทเรียนห้องเรียน เทคนิคกับพี่เปี๊ยก

บทที่หนึ่ง การเริ่มต้นวิเคราะหุ้นด้วยกราฟ
ต้องเริ่มที่การวิเคราะห์แนวโน้มให้ได้ก่อน การวิเคราะห์แนวโน้ม คือ จุดเริ่มต้น คือหัวใจสำคัญ ของการวิเคราะห์ทางเทคนิด มองรูปกราฟแล้วต้องรู้ว่า หุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มอะไร ถ้าหุ้นตัวนั้นเป็นแนวโน้มขึ้น แปลว่า เล่นได้ถ้าหุ้นตัวนั้นเป็นแนวโน้มลง แปลว่า เล่นไม่ได้
  • “การเคลื่อนไหวหลัก ( Primary Movement ) เป็นตัวแทนของ "แนวโน้มตลาด" ใช้เวลา 2-3 เดือน ถึง หลายปี การเคลื่อนไหวนี้ เป็นตัวบอกว่า ตลาดเป็นแนวโน้มขึ้น หรือ ลง การเคลื่อนไหวนี้ จะยัง "คงอยู่" จนกระทั่ง ถูกพิสูจน์ได้ว่า "เป็นอย่างอื่น" Hamilton เชื่อว่า ความยาว และ เวลาของแนวโน้ม "ระบุไม่ได้"มีนักลงทุนหลายคน ยึดติดกับ ราคาและ เวลา ที่เป็นเป้าหมาย ในความเป็นจริง ไม่มีใครรู้ว่า "ที่ไหน เมื่อไร" ที่แนวโน้มหลัก Primary Movement จะ "จบลง" Hamilton ไม่ได้เอาใจใส่กับการเคลื่อนไหว ในแต่ละวันอย่างไรก็ตาม เมื่อ นำหลายวันมารวมกัน การวิเคราะห์ก็จะดีขึ้น เนื่องจากว่า ตลาดเคลื่อนไหว แบบ สุ่มวันหนึ่งไปอีกวันหนึ่ง สิ่งที่แย่ที่สุด คือ การเน้นไปที่ การแกว่งตัวของแต่ละวัน มากเกินไป ซึ่งจะนำไปสู่ การคาดการณ์ที่ผิดพลาด การที่จะจับการเคลื่อนไหว ใน 1 หรือ 2 วัน จะนำไปสู่การตัดสินใจที่รีบเร่ง ซึ่งจะอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์ การคิดให้เหมือนกับการต่อ jigsaw ความเห็นของแต่ละคน เป็นเพียง jigsaw 2-3 ชิ้น ซึ่งไม่ได้มีความหมายใดๆ ถ้าเรายังให้ความสำคัญ กับ ภาพที่สมบูรณ์”
  • คำกล่าว ของ Hamiltonครั้งแรกของการเรียกกราฟขึ้นมาดู 1 รูป สิ่งที่ต้องเห็น จากการใช้ตาดู คือ แนวโน้ม เพียงแต่เราไม่เห็นว่า ณ ที่เรายืนอยู่ตรงไหนของแนวโน้ม สมมุติว่า เราเห็นรูปหุ้นตัวหนึ่ง เห็นแล้วว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้น ทุกคนก็เห็นหมดทุกคน แต่คำถามที่ทุกคนอยากรู้ก็คือ เรายืนอยู่ตรงไหนของแนวโน้ม เพราะคำว่าแนวโน้มมันก็มีทั้ง แนวโน้มยาวๆ หรือ กลางๆ หรือ สั้นๆ ใครจะเป็นคนบอกได้อย่างชัดเจนว่า ที่เรากำลังยืนอยู่เป็น ช่วงต้นๆ ของแนวโน้ม หรือเรากำลังอยู่ตรงกลาง เอหรือว่าอยู่ตรงปลายของแนวโน้มกันแน่ ทฤษฎี Elliots wave เขียนบอกไว้ และรูปแบบราคาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จะเป็นช่วยยืนยันว่า จุดต้น จุดกลาง และปลายของแนวโน้ม กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ทำให้เรารู้จังหวะในการลงทุนว่าจะซื้อ หรือ จะขาย 
  • เราสามารถตีเส้น Trendline โดยใช้ เส้นตรง 1 เส้น หรือ 2 เส้น หรือหลายเส้นก็ได้ แต่จำไว้ว่าเส้นแนวโน้มที่เป็นของจริงมี 2 เส้นเท่านั้น เส้นในระยะ 1-2 ปีหนึ่งเส้น และเส้นระยะ 10 – 20 ปีอีกหนึ่งเส้น
เรายังสามารถใช้เครื่องมืออื่นช่วยในการหา แนวโน้มราคาหุ้นได้อีกอย่าง คือ การใช้เส้นค่าเฉลี่ยระดับ 20-50 วัน ช่วยในการหาแนวโน้มที่เราเห็นว่า ยังเป็นแนวโน้มขึ้นหรือลงอยู่จริงๆหรือไม่ ปรกติผมจะกำหนดค่าของเส้นค่าเฉลี่ยเป็น 50 วันเป็นหลัก ถ้าราคาหุ้นที่ขึ้นอยู่ สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันได้ นั่นก็แสดงว่า หุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ถ้าราคาตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน แนวโน้มของหุ้นตัวนั้นกำลังจะเป็นขาลง ส่วนเส้นค่าเฉลี่ย จะใช้แบบ Simple หรือ Exponancial ก็ได้
  • ส่วนวิธีการลากเส้นแนวโน้ม มี 3 วิธี คือ 
  1. หนึ่งให้ลากเส้นระหว่างจุดต่ำสุดหรือสูง 2 จุดขึ้นไป และสามารถลากเส้นขนานได้ด้วย 
  2. สองคือการลากเส้นระหว่างจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุด หรือจุดไหนก็ได้ ใช้ 3 จุดขึ้นไป ลองลากดู
  3. สาม คือ เส้นแนวโน้มหลัก ของหุ้นตัวนั้น ในระยะ 10 ปีขึ้นไป ต้องลากด้วย เพราะมันจะเป็นแนวรับ หรือแนวต้านสำคัญ และใช้การตีเส้นคู่ขนานมาช่วยได้ด้วย 
  4. สี่การใช้ การตีเส้นขนาน Horizontal Line ก็คือตีเส้นโดยที่เอาราคาที่ bottom หนึ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หนาแน่น เป็นจุดแรก และลากขนานไปเป็นเส้นยาวๆ ถือเป็นแนวต้าน หรือ แนวรับที่สำคัญ 
  5. ส่วนระยะเวลาที่ลาก ควรจะใช้ระหว่าง 1-2 ปี ไม่อยากให้เกินนั้น ยกเว้นว่า 2 ปีแล้วก็ไม่เห็นก็ถอยไปเรื่อยๆได้ แต่ข้อแนะนำของผม ผมว่าหุ้นตัวหนึ่ง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จะมีเส้นแนวโน้มที่เป็นเส้นหลักได้เพียงเส้นเดียวเท่านั้น
เท่าที่ประสบการณ์ของผมอาจสรุปว่า การตัดสินใจว่าแนวโน้มนั้นจบหรือยัง ใช้เส้นค่าเฉลี่ยช่วยในการมองแนวโน้มได้ดีกว่า และชัดเจนกว่าการใช้เส้นตรงธรรมดา

แนวโน้มมี 4 แบบเท่านั้น คือ
1. แนวโน้มขึ้น Up Trend คือ จุด สูงสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดสูงสุดเก่า และจุดต่ำสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า นี่คือ คำนิยามของแนวโน้มขาขึ้น(Uptrend) แนวโน้มขาขึ้นเป็นโอกาสดีในการลงทุน เนื่องจากราคามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยทำารเบรกแนวต้านหรือจุดสูงสุดใหม่ สามารถเบรคจุดสูงสุดได้เสมอ การลงทุนแบบ let profit run จึงสามารถสร้างผลกำไรให้กับผู้ลงทุนบนแนวโน้มขาขึ้น ทำให้ง่ายต่อการจังหวะเข้าซื้อและทำการขาย
2. แนวโน้มขาลง (Down Trend) จุดต่ำสุดใหม่ต้องต่ำกว่าจุดต่ำสุดเก่า และจุดสูงสุดใหม่ต้องอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า นี่คือนิยามของคำว่า แนวโน้มขาลง (DownTrend) การเคลื่อนที่ของราคาจะเปลี่ยนแปลงแบบลดลงเรื่อย ๆ อาจมีการเด้งตัวระยะสั้น คือการเด้งเพื่อระบายหุ้น หรือเด้งเพื่อชะลอการลดลงของราคา ตามแนวรับสำคัญๆ
3. แนวโน้มแก่วงตัวข้างๆ SideWay คือ ราคาเคลื่อนที่ขึ้นลงในกรอบแคบๆ เคลื่อนตัวไปด้านข้างและอาจจะเกิดจากการพักตัวขนาดใหญ่ของแนวโน้มขาขึ้นหรือลงขนาดใหญ่ เพื่อหาทิศทางต่อไปของแนวโน้ม แนวโน้มแบบนี้มักจะเป็นลักษณะแบนราบ (Flat) ราคาอาจจะแกว่งตัว มีทั้งแบบ สวิงวงกว้าง และสวิงวงแคบ แนวโน้ม Side Way เป็นแนวโน้มที่เล่นง่ายที่สุด เพราะกรอบราคาค่อนข้างชัดเจน เราสามารถเห็นแนวรับแนวต้านชัดเจน
4. ไม่มีหรือไม่เห็นแนวโน้มของราคาหุ้นเลย อยู่ดีๆ ก็ ขึ้นแรง ลงแรง อ่านเกมยาก เป็นแนวโน้มที่เล่นยากที่สุด เพราะเราไม่สามารถรู้ทิศทางที่แน่นอนได้ ถ้าหลักเลี่ยงได้ ก็ไม่ควรเล่น

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า แนวโน้มที่เราคิดเราเห็นนั้น มันจบแล้วใช่หรือไม่ใช่
1. ในแนวโน้มขาขึ้น หากราคาไม่สามารถขึ้นไปทำจุดสูงกว่าจุดเดิมที่เคยขึ้นไปทดสอบแล้วถึง 2-3 ครั้ง แปลว่าจากนี้ไปหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวลงสูง
2. ปริมาณการซื้อขายจะช่วยยืนยันแนวโน้ม ในแนวโน้มขาขึ้นควรจะมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามปริมาณการซื้อขายน้อย แนวโน้มตลาดมักจะเป็นขาลง เราสามารถนำปริมาณในการซื้อขายของหุ้นตัวที่เราสนใจหาแนวโน้มได้เช่นเดียวกัน และปริมาณการซื้อขายก็คือตัวยืนยันคุณภาพของแนวโน้มนั้นด้วย
3. การดูเเนวโน้มสามารถดูได้จาก darvas box อีกด้วย (เครื่องมือนี้มีใน efin smart portal -คลิกที่ FN--analysis tool --- darvas box) โดย ถ้าอยู่ในเเนวโน้มขึ้น ราคาก็จะทะลุกล่องด้านบนไปเรื่อยๆ นักลงทุนจะถือเป็นสัญญาณซื้อเพิ่ม เพราะยังขึ้นต่อได้ เมื่อราคาทะลุกล่องขึ้นไป ถ้าอยู่ราคาอยู่ในเเนวโน้ม sideway ราคาก็จะเคลื่อนไหวภายในกล่องดาวาส ไม่หลุดไปไหน แต่ถ้าราคาอยู่ในเเนวโน้มลง ราคาจะทะลุลงกล่องล่าง เมื่อราคาหลุดกรอบล่างก็ถือเป็นสัญญาณขาย และแนวโน้มหุ้นตัวนั้น เป็นแนวโน้มลง

อาจารย์เพิ่งสรุปได้แค่นี้เอง เอาไปอ่านก่อนก็แล้วกัน 30/3/2555



เส้นค่าเฉลี่ย 50 วันจะช่วยบอกแนวโน้มที่เรายืนอยู่ มันจบขาขึ้น หรือขาลงหรือยัง เช่นถ้าราคา ยืนเหนือเส้น 50 วันได้ ก็แปลว่า ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ถ้ามีหุ้นอยู่ก็ถือได้ ถ้าไม่หุ้นก็ซื้อได้ เพราะยังไม่ใช่ช่วงปลายขาขึ้น นี่คือความสำคัญของมัน เส้นอื่นๆ ไม่ได้สื่อความหมายแบบนี้

ถ้าบนสมมติฐานความน่าจะเป็นระหว่าง ขึ้น กับ ลง คือ 50% : 50% และการอ่านกราฟคือการอ่านอดีตเพื่อพยากรณ์อนาคตตามทฤษฎีที่อยู่บนพื้นฐานว่า เหตุการณ์ซ้ำๆในอดีต จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ตอบว่า อันนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นความเชื่อของนักเทคนิค ส่วน Trendline ใช้ราคาในอดีตก็จริง แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่บอกว่า ท่านยังสามารถถือหุ้นตัวนี้ต่อไปได้ไหม หรือควรขาย ไม่ได้บอกว่า ราคาจะไปไกลแค่ไหน อยากรู้ว่าเราอยู่ตรงไหน ก็ใช้ Elliots wave

อยากรู้ว่า ปลายทางอยู่อีกไกลไหม ก็ใช้ Fibonacci number

ตรงปลายแนวโน้ม ใช้ Price Pattern ช่วยดูอีกที ว่าการคำนวณจุดปลายทาง จาก Fibonacii ว่าจะเป็นจริงได้ไหม

จุดยืนยันว่าใช่ มีหลายเครื่องมือ ใช้ EMA 20 วัน ก็ได้


แค่นี้โอกาสกำไร ก็เกิน 50% แล้ว การเล่นหุ้นไม่ต้องสนใจความน่าจะเป็นระหว่าง ขึ้น กับ ลง ถ้าเรากำไรก็จบ การกำไรก็มาจากการเดาถูกทาง แปลว่า ต้องมั่นใจ 100% ผิดทางก็คือขาดทุนแปลว่า คาดการณ์ผิด 100% พียงแต่ว่าที่เราใช้เครื่องทางเทคนิคเข้าช่วยในการตัดสินใจ เพื่อการชนะ 100% กำไรมาก หรือน้อย ก็ถือว่า ชนะ 100%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น