วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข้อแนะนำสำหรับ วีไอ มือใหม่
เครดิต http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=51376

ตลอด 4 ปี นับจากนี้ถือว่าเรียนรู้

ความไม่รู้คือความเสี่ยง

แบ่งเงินมาซื้อหุ้นทุกเดือน ห้ามขาย

ซื้ออย่างเดียว

หากิจการที่มียอดขาย มีกำไร หนี้น้อยหรือไม่มี และมีอัตราการเติบโต

ซื้อในราคาที่คุณคิดว่าเหมาะสม แล้วก็ถือ ไปประชุมผู้ถือหุ้น รับปันผล

ราคาหุ้นลง อยากซื้อเพิ่มก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ไม่เป็นไร

กติกาคือ ซื้อแล้วห้ามขาย

จะขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน ซึ่งมันก็น้อยมาก ที่หุ้นตัวไหนพื้นฐานจะเปลี่ยน แต่ก่อนเคยเจอไม่กี่ตัวเช่น

cei ผลิตพัดลมให้ hunter อะไรนั่น แล้วจู่ๆ hunter ยกเลิกการสั่งพัดลม

สรุป ซื้อแล้วถือกิจการที่มีกำไร แล้วทำไมคุณต้องขาดทุนด้วยหละ

ในเมื่อระยะสั้น หุ้นก็ขึ้นๆลงๆ

และหากคุณแบ่งเงินมาลงทุนทุกเดือน ตัวไหนลงเยอะๆคุณก็ซื้อเพิ่มได้นี่ครับ

................................................

ผ่าน 4 ปีไปแล้ว คุณจะเก่งขึ้นอย่างแน่นอน คุณวันนี้ กับตัวคุณเองอีก 4 ปีข้างหน้า ต้องเก่งขึ้นแน่ๆ

และหุ้นที่คุณถือ และได้ไปประชุมผู้ถือหุ้น คุณก็จะได้สายสัมพันธ์ กับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นๆ

คุณจะรู้จักผู้บริหาร คุณจะรู้จัก ir

..............................................

ไม่ต้องหวังกำไรมาก เอาแค่ให้คุณไม่เจ๊ง เป็นอันใช้ได้

หลังจาก 4 ปี คุณก็ต่อยอดตัวคุณเอง ว่าคุณจะเอาอย่างไรกับชีวิต นักลงทุนของตัวคุณเอง

.............................................

ทำไม มือใหม่ ที่ไม่มีความรู้ ในตัวธุรกิจ การตลาด คู่แข่ง งบการเงิน และอื่นๆ

ถึงคิดว่าเข้ามาแล้วจำได้กำไรมากๆอย่างรวดเร็ว

เพราะคุณสำเร็จในงานของคุณไง คุณเหลือเงิน คุณเก่ง

แต่นี่คือตลาดหุ้น ที่ฝังคนล้มเหลว แล้วไม่ได้พูดไว้ มากมาย ถ้าไม่สนิทกัน

ถ้าสนิทกัน คนนั้นก็เจ๊ง 20 ล้าน คนนี้ก็เจ๊ง 10 ล้าน เป็นต้น
ไม่ต้องสนใจว่าผมเล่นแบบไหน

พระท่านสอนเรื่อง บัวในตม

ดอกบัว ถึงแม้จะเกิดจากตม เลอะโคลน เราก็ไม่ต้องไปสนใจ

เราสนใจตรงดอกบัวที่เด็ดขึ้นมาแล้ว นำมาไหว้พระ

หมายถึง คำสอน คำแนะนำ เลือกเอาแต่ที่มีประโยชน์กับตัวเราเอง

อย่าไปสนใจว่า ผู้พูด นิสัยไม่ดี ต่อให้นิสัยไม่ดี ถ้าสิ่งที่เขาพูดแล้วนำมาเป็นประโยชน์กับตัวเรา

เราก็ควรรับ อันนี้อ่านจากเรื่อง บัวในตม

ลองทบทวนดูนะครับ เมื่อมือใหม่ถือหุ้นไป 4 ปี ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไป company visit และอื่นๆเช่น ฟัง opp day

การไปรู้จักผู้ถือหุ้น ที่ลงทุนในหุ้นตัวเดียวกัน การรู้จักผู้บริหาร และ ir

สุดท้ายแล้ว คุณจะรู้จักหุ้นตัวนั้นๆ เพราะคุณมีประสบการณ์ในการถือหุ้นตัวนั้นๆ 4 ปี

ผ่านไป 4 ปี คุณจะเจอมือใหม่เข้ามาอีก และความรู้ความเข้าใจในหุ้นตัวนั้นๆ จะไม่เท่าคุณ

แน่นอนว่า คุณจะมีโอกาสทำกำไรมากกว่า


พี่เจ๋งหวังดีกับมือใหม่ สมควรรับฟังอย่างยิ่ง

กว่าจะเป็นมือเก่า ก็ต้องผ่านช่วงการเป็นมือใหม่ นักลงทุนที่ล้างมือในอ่างทองคำก็ไม่น้อย สาบส่งไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีก และคอยติงผู้ลงทุนทุกคนว่าอย่าไปยุ่งกับหุ้นโดยเด็ดขาด เพราะว่าหมดตัวได้ ซึ่งก็จริง

อีกหลายคนที่รอดมาได้ ก็จ่ายค่าวิชามาไม่น้อย จนวันหนึ่งเมื่อรู้เคล็ดวิชาก็รู้สึกว่า ไม่มีการลงทุนใด ๆ หรือโอกาสขุดทองใด ๆ ดีเสมอการลงทุนในตลาดหุ้นอีกแล้ว

ทำไมเป็นเช่นนั้น ???

เพราะว่าการลงทุนที่สำเร็จขึ้นกับความเข้าใจของผู้ลงทุนในการลงทุนครับ

1. การลงทุนมีหลายวิธี ( เช่น strategies, methods, philosophy)... เช่นแบบ ดร.นิเวศน์ แบบเซียน ก เซียน ข เซียนเทคนิค และอื่น ๆ แล้ววิธีไหนละ.....ก็ขอให้เลือกวิธีที่ถูกกับจริตของเราและความสามารถของเรา แต่ที่สำคัญจะเลือกใช้วิธีไหน ก็ต้องรู้จริงในการใช้วิธีนั้น
2. ต้องติดตาม... ลงทุนซื้อหุ้นแล้ว ไม่ติดตามเลย จะไม่ประสบความสำเร็จ หรือ สำเร็จก็จะไม่มากเท่าที่ควร
3. เมื่อวันหนึ่งที่คุณดีดนิ้วว่า... Eureka = I have found it...คุณเริ่มแปลงกายเป็นมือเก่าที่จะประสบความสำเร็จตามมาแล้วครับ
คห.จากคุณกะลามัง_________________

สไตร์แนวเดียวกับที่คุณสุมาอี้แนะนำไว้เลยครับ
ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... 22/437454/กลยุทธ์หุ้น.html

เมื่อเดือนที่แล้ว ผมไปเป็นวิทยากรที่ห้องสมุดมารวย ชั้นล่างของอาคารตลาดหลักทรัพย์ เรื่องเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นมาครับ
ที่นี่มีการจัดสัมมนาอย่างสม่ำเสมอและส่วนใหญ่ก็เป็นงานที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าฟังได้ฟรีด้วย ใครที่สนใจเรื่องการออมและการลงทุนน่าจะหาโอกาสไปเพิ่มพูนความรู้กันนะครับ
จำได้ว่าผมไม่ได้เขียนเรื่องหุ้นในคอลัมน์นี้เท่าไร เลยอยากจะขอเขียนสรุปแนวคิดหลักของการสัมมนาในวันนั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วย แนวคิดส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจาก ปีเตอร์ ลินซ์ กูรูหุ้นคนสำคัญ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า ตลาดหุ้น คือ ทางเลือกในการออมที่เหมาะสำหรับทุกคน เพราะแม้ตลาดหุ้นจะผันผวนสูงมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วหุ้นก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และสูงกว่าสินทรัพย์อย่างอื่นมาก ดังนั้นแม้แต่คนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ก็ควรแบ่งเงินบางส่วนออมไว้ในหุ้นบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคดอกเบี้ยตกต่ำถาวรอย่างเช่นในปัจจุบัน

วิธีออมเงินไว้ในหุ้นที่ง่ายและดีที่สุด คือ การเลือกลงทุนในหุ้นของธุรกิจชั้นดีเท่านั้น และลงทุนอย่างน้อย 4-5 ตัว แล้วพยายามถือหุ้นแต่ละตัวเอาไว้ให้ได้นานๆ นี่คือวิธีเดียวกับที่ ปีเตอร์ ลินซ์ กูรูหุ้นคนสำคัญแนะนำไว้ในหนังสือของเขา ว่า เป็นวิธีที่เหมาะกับคนธรรมดาทั่วไปมากที่สุด

หัวใจสำคัญของวิธีนี้อยู่ตรงที่การบอกตัวเองว่า จะพยายามซื้อขายหุ้นให้น้อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะที่จริงแล้ว เรื่องที่ยากที่สุดของคนส่วนใหญ่ในการเล่นหุ้น คือ การควบคุมอารมณ์ของตัวเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก การสัญญากับตัวเองว่าจะเทรดหุ้นให้น้อยครั้งที่สุด คือ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ให้อยู่เฉยๆ เอาไว้ก่อน เป็นการช่วยลดโอกาสที่เราจะตัดสินใจซื้อขายหุ้นไปตามอารมณ์ของเรา ซึ่งมีส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้เราลงทุนผิดพลาด

ครั้งแรกที่ผมได้อ่านวิธีการลงทุนนี้ในหนังสือของปีเตอร์ ลินซ์ ผมรู้สึกเฉยๆ มาก เกือบจะเรียกได้ว่าแทบจะอ่านผ่านไปเลย เพราะมันฟังดูง่ายเกินไป ช่างไม่มีความพิเศษเอาซะเลย แต่หลังจากที่ได้อยู่ในตลาดหุ้นนานขึ้น ได้เห็นพฤติกรรมที่แปลกๆ ของนักลงทุน รวมทั้งของตัวเองด้วย ผมก็ยิ่งรู้สึกว่า วิธีที่ปีเตอร์ ลินซ์ แนะนำเป็นเคล็ดลับที่ยอดเยี่ยมจริงๆ มันไม่น่าจะเกิดจากความคิดของเขาลอยๆ แต่เกิดมาจากการที่เขาผ่านร้อนผ่านหนาวในตลาดหุ้นมานานและได้เห็นอะไรมาเยอะมากแล้วจริงๆ

การทำนายล่วงหน้าว่าหุ้นตัวไหนจะเติบโตดีในอนาคตนั้น บางทีก็เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับคนทั่วไป แต่ถ้าเราเน้นลงทุนแต่กิจการที่ค่อนข้างมั่นคงเอาไว้ก่อน โอกาสที่ราคาหุ้นเหล่านี้จะลดลงอย่างถาวร เพราะกิจการไปไม่รอดในระยะยาวจะมีน้อย ทำให้พอร์ตของเรามี Downside Risk จำกัด ส่วน Upside Gain นั้นเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ และถือว่าเป็นของแถม ปีเตอร์ ลินซ์ บอกว่า ในหุ้นดีห้าตัวที่เราเลือกลงทุนนั้น แค่มีตัวใดตัวหนึ่งที่เติบโตได้ดีมาก ส่วนอีกสี่ตัวที่เหลือแค่ธรรมดาๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้พอร์ตโดยรวมของเราเป็นพอร์ตที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีได้แล้ว วิธีลงทุนที่เน้นจำกัด Downside แล้วปล่อยให้ Upside เป็นเรื่องที่ได้เป็นของแถม จึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องหุ้นครับ

การเทรดหุ้นบ่อยๆ ยังเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลตอบแทนของคนทั่วไปไม่ดี คนทั่วไปมักจะคิดว่าถ้าเราเทรดหุ้นบ่อยๆ จะทำกำไรได้สูงกว่า เพราะทำเงินได้หลายรอบ แต่โดยสถิตแล้ว คนทั่วไปทำผลงานได้แย่มากในการทายล่วงหน้าว่า ราคาหุ้นกำลังจะวิ่งไปทางไหน ดังนั้น พอร์ตของคนธรรมดาทั่วไปที่ค่อนข้างนิ่งจึงมักให้ตอบแทนที่ดีกว่าพอร์ตที่เคลื่อนไหวของตลอดเวลาโดยเฉลี่ย เพราะการไม่ได้ซื้อขายบ่อยๆ ทำให้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการเทรดหุ้นมีน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม วิธีลงทุนที่ค่อนข้าง Passive มักจะให้ผลตอบแทนต่อปีเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก แม้แต่คนอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ยังทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้เพียง 21% ต่อปีเท่านั้น แต่เขาอาศัยการลงทุนมานานทำให้พอร์ตโตขึ้นอย่างมหัศจรรย์ วิธีนี้จึงไม่อาจทำให้รวยเร็วๆ ได้ จึงเหมาะกับคนที่มีเป้าหมายเป็นการออม และสามารถรอคอยได้

แต่สำหรับคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นโดยมีเป้าหมายที่จะ "เปลี่ยนชีวิต" ด้วยตลาดหุ้น เช่น จากคนที่ไม่รวยกลายมาเป็นคนที่ร่ำรวยได้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีด้วยการเทรดหุ้นนั้น โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่ต้องเข้าใจว่า คนทำสำเร็จจริงๆ นั้น มีอยู่ไม่มากนัก แต่การที่หุ้นเป็นแค่การซื้อๆ ขายๆ แล้วได้กำไร ทำให้เกิดภาพลวงตาว่าการ "รวยด้วยหุ้น" เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าวิธีการอย่างอื่น

ฉะนั้นคำแนะนำของผมสำหรับคนที่อยากรวยด้วยการเทรดหุ้นจริงๆ คุณต้องเอาจริงกับมันอย่างมากเท่านั้น ตามสถิติแล้ว คนที่เทรดหุ้นแล้วไม่ขาดทุนนั้นมีอยู่น้อยกว่าคนที่ขาดทุน ยิ่งถ้าเป็นสัดส่วนของคนที่ได้กำไรจากหุ้นมากเสียจนเปลี่ยนชีวิตได้เลยนั้น ยิ่งมีน้อยมาก การจะเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยมากจึงไม่อาจหวังพึ่งแค่โชคช่วย หรือใช้วิธีการที่เหมือนๆ กับคนอื่นได้เลย คุณต้องมีอะไรบางอย่างที่โดดเด่นกว่าคนอื่นในเรื่องหุ้น

แต่ถ้าหากคุณไม่มี ผมแนะนำให้คุณตัดช่องน้อยแต่พอตัว แล้วหันมาเลือกวิธีแบบที่ค่อนข้าง Passive ยอมรอนานหน่อย คุณก็สามารถมีผลตอบแทนจากหุ้นที่ดีในระดับหนึ่งได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเก่งหรือทุ่มเทให้กับตลาดหุ้นมากๆ เลย

คห.จากคุณ Saran

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น